เมื่อผมเรียนจบแพทย์ศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในกรุงเทพหลังจากเป็นแพทย์ฝึกหัดอยู่หนึ่งปี
มผก็ได้ไปรับราชการอยู่ที่ต่างจังหวัดซึ่งอยู่ใกล้เคียงกับบ้านเกิดอยู่ระยะหนึ่ง
ก็ได้ทุนจากกระทรวง ไปเรียนต่อและดูงานทางด้าน Public Health (สาธารณสุข) เป็นเวลาสองปี
ที่สหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นหลักสูตรและทุนที่ทางองค์การอนามัยโลกจะให้แก่ประเทศต่างๆ
ทั่วโลกขณะนั้นผมอายุยี่สิบเก้าปี
ผมไปด้วยความรู้สึกเต็มเปี่ยมไปด้วยกำลังใจและความมุ่งมั่นที่จะนำความรู้ที่ได้มาพัฒนาชนบทไทยให้ได้
นับเป็นโชคดีที่ผมมีโอกาสอันงามนี้แต่หลายคนบอกว่าท่าทางผมไม่เห็นจะเข้ากับงานพวกนี้ได้
ผมออกจะดูสำรวย หยิบโหย่งในความสูง 175 ซ.ม. หนัก 62
ก.ก. ผิวขาว ตาสีน้ำตาลและผมตรงค่อนข้างหยักศก
แต่ความสามารถของคนไมม่ได้เกี่ยวกับบุคลิก ท่าทางสักหน่อย จริงไหมครับ
เมื่อกำหนดการมาถึง แพทย์จากชาติต่างๆ ประมาณ 30 คน
ก้ได้มารายงานตัวที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งทางตอนเหนือซึ่งมีอากาศดีและทิวทัศน์งามมาก
ผมมัวแต่สนใจบรรยากาศสิ่งแวดล้อมจนลืมสังเกตไปว่ามีสายตาของหมอหนุ่มคนหนึ่งจับจ้องอยู่
เขาสู.มากคงสูงกว่าผมสัก 5 ซ.ม. ผิวสีน้ำตาล ผมสีน้ำตาลไหม้เป็นลอนนัดสั้นเรียบใส่สูทสีเทาเทห์เหลือเกินเราจ้องกันอยู่พักใหญ่
‘’ คนอะไรหล่อเหลือเกิน ตาโตคู่นั้นเหมือนจะยิ้มให้’’ ผมได้แต่นึกก็พอดีถึงคิวที่จะต้องเซ็นชื่อกรอกข้อความในเอกสารอีกมากมายก็เลยสนใจไป
ผมได้ทราบเบอร์ห้องของหอพักที่เป็นที่พักอาศัยตลอดสองปีแห่งการศึกษานี้
และก็ทราบว่ารูมเมทของผมชื่อ Dr.Dio(ดร. ดิโอ) มาจากอาร์เจนตินา ผมยอมรับว่าสนใจหมอหนุ่มคนที่เพิ่งเจอกันนั้นมากเลย
ผมรู้สุขของผมอยู่ที่ไหน
แต่เท่าที่เติบโตมาที่เมืองไทยผมมีหน้าที่ที่จะต้องทำมากมาย
มีการเรียนอันหนักหน่วง การงานที่เสี่ยงกับความเป็นตายของคนไข้ตลอดเวลา และสังคมที่ขีดเส้นใต้ไว้เพียงแค่ชายหญิง
ผมฝืนความรู้สึกมาตลอดมาและเก็บไว้ในส่วนลึกซึ่งไม่มีใครเคยทราบเลย
ผมมุ่งให้กับการเรียนและการงาน
แต่เมื่อมาถึงที่อเมริกาผมก็ต้องสะดุดใจไปกับหมอแปลกหน้าคนนั้นจนได้
ผมเป็นคนไทยคนเดียวในการเรียนหลักสูตรนี้ เขาจึงจัดให้พักกับรูมเมทชาวต่างขาติ
หลังจากที่จัดการเรื่องต่างๆเรียบร้อยแล้วก็ขนของขึ้นหอพัก
เมื่อไขกุญแจเข้าห้องพักก็ต้องตกใจอย่างสุดขีด
เพราะผู้ที่ผมพบในห้องที่กำลังจัดสิ่งของเข้าที่นั่นก็คือ หมอหนุ่มคนนั้นนั่นเอง
เขาหันมาสบตาแล้วยิ้มก่อนจะพูดว่า ‘’คุณคือ ดร. วิภัสร์
จากประเทศไทยใช่ไหม…ผมคือดร. ดีโอ จากอาร์เจนตินาครับ เราเป็นรูมเมทกัน’’ผมดีใจพูดไม่ออกได้แต่ไปจับมือแสดงการทักทายกัน
จากนั้นก็พูดคุยทำความรู้จักกันและจัดของให้เข้าที่เข้าทาง
สำเนียงภาษาอังกฤษแปร่งๆเพี้ยนไปทางสเปนของเขาฟังดูมีเสน่ห์
บุคลิกท่าทางของเขาดูไม่เบื่อเอาเสียเลย
เราสนิทสนมกันรวดเร็วมากอาจจะเป็นเพราะว่าเรามีพื้นฐานหลายอย่างคล้ายคลึงกัน
ชอบอะไรๆคล้ายกัน
เขาอยู่ที่บัวโนสไอเรสครอบครัวเชื้อสายสเปนของเขาอบอุ่นและน่ารักมาก
จากที่ผมฟังคำบอกเล่า ดร. ดีโอ อายุ 30 ปีอายุใกล้เคียงกัน
แต่ร่างกายดูโตและล่ำสันกว่าผมมากเพราะผมออกจะเพรียวไปหน่อย
ผมไม่คิดเลยว่าจะได้พบอัธยาศัยน้ำใจไมตรีจากชาวต่างชาติในแดนไกลเช่นนี้
เราคุยกันอย่างเปิดอก เขาอยากรู้จักชีวิตผม และผมก็อยากรู้จักกับชีวิตเขา แน่ล่ะ
ผมยอมรับว่าถูกใจในรูปร่าง หน้าตา บุคลิกของเขามากแต่วัยขนาดผมแล้ว
อารมณ์หรือหวาแบบนี้กับความมีเหตุผลจะต้องอยู่อย่างสมดุลย์กัน
และผมเองก็ไม่รู้ว่าเขาจะมีความรู้สึกเช่นเดียวกันหรือปล่าวเราถ่ายทอดอุดมคติต่างๆใหหแก่กันว่าชาติบ้านเมืองยังต้องการความช่วยเหลืออีกมากเมื่อถึงเวลาที่เรากลับไป
เราสนิทกันมากขึ้นนับตั้งแต่แรกจนกระทั่งเกือบสิ้นปี เราแสดงความมีน้ำใจให้แก่กันช่วยเหลือกันในเรื่องการเรียน
หรือเรื่องเล็กๆน้อยๆเช่น เขามักชอบทำอาหารเช้าให้ทานในวันเสาร์ อาทิตย์
ผมเองก็คอยนำจดหมายหรือสิ่งของต่างๆจากcounterมาให้เสมอ บางทีวันที่ผมไม่ต้องออกไหน
แต่เขาต้องออกแต่เช้าก็มักจะทำอาหารเล็กๆน้อยๆแล้วเขียนโน้ตทิ้งไว้ให้เสมอ
เรามักจะเกรงใจกันเสมอเวลาที่อีกคนหลับ อีกฝ่ายก็จะเงียบไม่พยายามที่จะเปิดไฟ
เปิดเพลงรบกวนบางครั้งเวลาว่างเราก็มักจะขับรถไปเที่ยวตามชนบทห่างไปไกลๆที่ทะเลสาปหรือตามภูเขา
ผมมีความสุขมากและคิดว่าเขาก็น่าจะมีความสุขด้วยในเมื่อเราต่างก็ไม่มีอะไรจะต้องห่วงใยแพทย์ชาติอื่นๆ
ก็มักจะพูดว่าเห็นผมสองคนนี่แหละเป็นชาวต่างชาติที่สนิทสนมกันจริงๆ
เราแทบไม่คลาดกันเลยนอกจากในเวลาที่อยู่เวรไม่ตรงกันบางครั้งเราไปฟัง concert ดูละคร
ซื้อของกันผมยอมรับครับว่าผมรักเขามากขึ้นทุกทีเป็นความรู้สึกบริสุทธิ์ใจที่เกิดขึ้นอย่างจริงจัง
ผมอยากจะให้บอกอยากจะทำอะไรให้มากกว่านี้แต่ผมก็ไม่กล้า
และกอร์ปกับต้องท่องหนังสือหนักมากเพื่อเตรียมมากเพื่อเตรียมตัวสอบอยู่บ่อยๆ
ก็ทำให้คลายความอัดอั้นลงไปบ้าง
ต่อมาเราได้ไปออกหน่วยไปในต่างรัฐเพื่อดูงานด้านสาธารณสุข
ซึ่งงานนี้ค่อนข้างจะสมบุกสมบันและได้พักผ่อนน้อยมาก
จากรัฐหนึ่งไปอีกรัฐหนึ่งกว่าจะกลับมาที่มหาวิทยาลัยก็เกือบเดือนก่อนกลับบวกเจอฝนเข้าไปอีก
ผมถึงเป็นหมอก็เจ็บป่วยจนได้ คืนนั้นผมไข้สูงทั้งคืนนอนไม่หลับไม่รู้เรื่องรู้ราว
รู้แต่ว่าฝันประหลาดๆปนเปกันไปหมดพอตื่นขึ้นมาก็พบ ดร.ดิโอ นั่งเฝ้าอยู่ข้างเตียง เขาจับมือผมไว้แน่น ‘’คุณนอนดิ้นและเพ้อมาตั้งสิบชั่วโมงแล้วนะ
เป็นยังไงบ้างรู้สึกตัวแล้วใช่ไหม ‘’ ผมพยายามฝืนยิ้มแต่ยังพูดอะไรไม่ออก ‘’ ดูซิ ผมเผ้ายุ่งเหยิง หมดหล่อเลย ‘’ เขาพูดล้อเพื่อให้ผมอารมณ์ดี ‘’ ผมสั่งยาให้คุณแล้วนะ ถึงคุณเป็นหมอตอนนี้ไม่ต้องคิดอะไร
ทานยาที่ผมสั่งให้ก็แล้วกัน’’ เขาเล่าว่าผมทรุดตั้งแต่เย็นก่อนเข้าถึงหอพักเสียอีก
เขาอุ้มขึ้นมาไว้บนเตียงแล้วก็เปลี่ยนเสื้อผ้าให้
ผมอายหน้าแดงพอเขาเห็นก็หัวเราะใหญ่’’ อะไรยังอายอยู่อีกเหรอ’’ คุณหมอลุกขึ้นไปชงน้ำชามาให้อีกแล้วแก้วหนึ่งเอาเอื้ออาทรต่อผมมาก
ยิ่งเห็นเขาแสดงความห่วงใยมากเท่าไร ผมยิ่งรักเขามากขึ้นเท่านั้น
เขาค่อยๆบรรจงป้อนให้ถึงปาก ผมเอื้อมเอามือสอดเข้าไปคล้องเอวเขาไว้แล้วก็พูดว่า’’ ขอบคุณมากครับ
ผมดีใจจริงๆที่ได้มาพบด็อกเตอร์ที่นี่’’ เขาบอกว่า ‘’ทีหลังเราอย่าเรียกด็อกเตอร์กันอีกเลย
เรียกชื่อเฉยๆก็ได้’’
ผมยิ้มเขาวางแก้วน้ำชาลงแล้วโอบกอดผมบ้าง’’ เป็นยังไงอุ่นขึ้นบ้างไหม’’ ผมรู้สึกยากที่จะบรรยายจริงๆ
ได้แต่ก้มหน้าอยู่ที่แผงอกแข็งแรงนั่นเสียงเขากล่าวออกมาอีก’’อืมม์ นึกว่าผอม จริงๆแล้วกล้ามอกแน่น’’ ผมอายจริงๆคนอายุ 29 ตอนนี้เหมือนเด็กเล็กๆที่ถูกพี่ชายโอบกอดอยู่
เราไม่เคยสัมผัสกันใกล้ชิดอย่างนี้มาก่อน อย่างดีก็แค่โอบไหล่จับมือจับแขนกันบ้าง
เขายังพูดไปเรื่อย ‘’รู้ไหมผมเป็นห่วงคุณมากเลย อยู่ดีๆ ก็ทรุดไปเฉยๆ
แสดงว่าร่างกายยังไม่ฟิตต้องจับวิ่งทุกๆเช้า’’ เขาชอบพูดติดตลกอย่างนี้เสมอ’’คุณต้องเข้มแข็งนะ คุณรู้ไหมพอคุณไม่สบายอย่างนี้ใจผมวูบเลย’’ เขากระชับวงแขนมากขึ้นอีกจนหูผมได้ยินเสียงหัวใจเต้น
ผมได้แต่เงียบกริบฟังเขาระบายความนึกคิดให้ฟัง ‘’ผมดีใจมากรู้ไหมที่ผมพบคุณตั้งแต่วันแรก ผมไม่รู้หรอกว่าประเทศไทยจะมีหมอรูปหล่ออย่างนี้
รู้ไหม’’ แล้วเขาก็ก้มลงสัมผัสแก้มผมด้วยริมฝีปากได้รูปคู่นั้น
ใจผมเต้นตูมตาม แต่ยังพูดอะไรไม่ออกอยู่ดี’’ ผมไม่รู้ว่าคุณจะคิดยังไง แต่ผมซึ้งใจจริงๆกับความสุภาพ
มีน้ำใจของคุณจนผมเก็บความรู้สึกไว้ต่อไปไม่ได้อีกแล้ว ผมอยากจะบอกคุณว่า….ผมรักคุณ…รักอย่างที่ไม่เคยรักใครมาก่อน’’ ผมตกใจแทบช็อค อะไรกันนี่ ความฝันที่ผมวาดไว้แต่ไม่กล้าแสดงออก
บัดนี้มันได้กลายเป็นความจริง ผมได้ยินจากปากเขาเอง ดีโอ...หมอหนุ่มจากอาร์เจนตินาที่ผมรักเขาสุดหัวใจเช่นกันเขาหน้าเสียเมื่อเห็นผมมิ่งอั้นไป
เขาพูดต่อไปว่า’’เอาเถอะ
คุณอาจจะบอกว่าเป็นไปไม่ได้ที่ผู้ชายกับผู้ชายจะรักกันได้ คุณอาจโกรธเกลียดแต่ขอให้ผมได้ระบายสิ่งที่มันอัดอยู่ในใจให้คุณทราบ
ถ้าคุณไม่ยอมรับผมขอย้ายไปอยู่ห้องอื่นก็ได้ และขอรับรองผมจะไม่ทำให้คุณต้องไม่สบายใจผมรู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องเล่นๆ
ผมอายุ 30 และคุณก็ 29 แล้ว แต่มันเป็นความจริงความบริสุทธิ์ใจ’’ ผมนิ่งงันอยากจะกล่าวตอบ แต่ทำไมลำคอถึงได้แห้งผากพูดอะไรไม่ออกเสียงเลย
ก็เริ่มร้องไห้กับอกของเขานั่นเอง ถึงตอนนี้เขากลับนิ่งเฉยผมร้องจนเสื้อเขาเปียกน้ำตาเป็นวงชื้นแล้วก็เริ่มสะอื้นในขณะที่ในอกเหมือนหัวใจพองโตเหลือเกิน
มันเป็นกลไกทางจิตที่สลับซับซ้อนเมื่อผมดีใจและสมหวังจนสุดขีด
ผมกลับร้องไห้อย่างหมดอาย น้ำตาลูกผู้ชายเอ่อล้นเปียกใบหน้าซึ่งเกลือกอยู่กับอก
ในที่สุดผมก็หยุดสะอื้นผมเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยสายตาแห่งความสมหวังภูมิใจ
และแล้วความในใจของผมก็หลั่งไหลออกมาจากใจ บอกเขาจนหมดสิ้นไม่หลงเหลืออะไรอีกเลย
เมื่อพูดจบผมค่อยๆ ลดคาบเอาศรีษะหนุนตักเขาไว้
เราประสานสายตากันเขามองผมด้วยสายตาที่ผมจะลืมไม่ลง มันบอกความในใจทุกอย่างชัดแจ้งอยู่ในนั้นแล้วเขาก็เอ่ยเบาๆ
ว่า ‘’มันน่าแปลกไหม ที่คุณเดินทางมาจากเอเชียผมมาจากอเมริกาใต้
เราเดินทางไกลเพื่อมาพบกันที่นี่ เพื่อมามีความสุขและความสมหวังกัน พระผู้เป็นเจ้าคงประทานคุณมาให้ผมใช่ไหม
วิภัสร์’’ เขาก้มลงพรมจูบไปทั่วใบหน้าผมอีกครั้งก่อนกล่าวต่อไปว่า
‘’คุณรู้ไหมผมพยายามกดความรู้สึกนี้เสมอมา
ถึงยังไม่เคยรักใคร
ผมได้แต่เรียนอย่างเดียวกว่าจะจบแพทย์ออกมาก็เหนื่อยสายตัวแทบขาด
แต่เมื่อมาพบคุณผมก็รู้แล้วว่า ความรักคืออะรา’’ เขาหัวเราะเมื่อก้มมองดูเสื้อของเขาที่เปียกด้วยคราบน้ำตาของผมจนโชก
‘’มันเปียกหมดเลย จะว่ายังไงฮึ …หมอขี้แย’’ เขาถอดเสื้อออกโชว์แผงอกล่ำสัน มีไรขนบางๆ คลุมอยู่ เขาบอกว่า ‘’นอนเสียเถอะเพิ่งฟื้นไข้คงเพลียมากซีนะ เอ้า …ทานยานี่ก่อนได้กำหนดเวลาแล้วดื่มน้ำมากๆ นะ ‘’ เขาเอาใจผมเหมือนเป็นน้องชายตัวเล็ก ‘’ผมจะนอนกอดคุณไว้อย่างนี้ล่ะจะได้อบอุ่น’’ ผมแย้งว่า ‘’เดี๋ยวคุณก็จะเป็นหวัดหรอก ไม่ได้ใส่เสื้อ’’ เขาก็บอกว่า ‘’ไม่เป็นไร
ขอให้ผมได้อยู่ใกล้ชิดกับคุณก็อุ่นกว่าผ้าห่มอีกนะ’’ เรานอนกอดกันใต้ผ้าห่มแล้วก็คุยกันถึงเรื่องราวต่างๆ
จนในที่สุดผมก็เริ่มง่วงและหลับไปเพราะความอ่อนเพลียและฤทธิ์ยา จำได้เพียงว่า
ก่อนจะหลับผมกำลังสัมผัสกับซอกคอแข็งแรงของเขาอยู่ ผมตื่นขึ้นอีกครั้งด้วยความสดชื่นอาการดีขึ้นมากแล้ว
แต่ที่สำคัญก็คือความสุขใจที่ผมรู้สึกจาก ดร. ดีโอ ที่นอนกอดผมอยู่นี้ ช่วงอีก 1 สัปดาห์จะเริ่มมีการสอนของสิ้นปีและก็หยุดเทอมช่วง
summer ตั้งแต่คืนวันนั้นมา
เราก็นอนกอดกันตลอดไม่ได้แยกกันนอนแบบเมื่อก่อน
เราแทบจะไม่ได้แยกจากกันเลยเช้าขึ้นก็ออกไปท่องหนังสือ
เขียนรายงานค้นคว้าอะไรที่ห้องสมุดของมหาวิทยาลัย
เย็นเราก็ไปเดินเล่นที่สวนสาธารณะกินอาหาร กันแล้วก็กลับเข้าห้องสมุดอีก
ถ้าจะกลับหอพักก็ประมาณ ตี 2 ตี 3 เวลาห้องสมุดปิดเราใกล้ชิดและสัมผัสกันมากขึ้น เขาชอบทำอะไรให้ผมหลงใหลอยู่เรื่อย บางทีอยู่ในห้องสมุดดึกๆ
แทบจะไม่มีคนเขาก็แอบมาโอบและดึงผมเอาไปจูบตรงมุมตู้หรือบางทีถ้านั่งอ่านหนังสือด้วยกันเขาก็ต้องคอยจับมือจับแขนโอบอยู่ตลอดเวลา
จนผมต้องยื่นคำขาดว่าเวลาอยู่ในห้องสมุดหรือเวลาอ่านหนังสือทำรายงานห้ามทำแบบนี้อีก
ไม่ใช่ผมไม่ชอบหรอกครับเพราะว่าเวลาเขาทำอย่างนั้นทีไรผมหวิว ๆสมาธิไม่เหลือเลย
ดูหนังสือทำงานไม่รู้เรื่องเดี่ยวพลอยสอบตกเอา เสียชื่อประเทศกัน
เขาเลยเงียบขรึมไป ดูเหมือนจะโกรธหรือน้อยใจก็ไม่รู้พอเวลาเดินกลับจากห้องสมุดก็เลยต้องอธิบายให้เขาฟังและคราวนี้ผมก็ทำอย่างนั้นกับเขาบ้างที่เก้าอี้ใต้ต้นไม้ริมทางเดินนั่นเอง
‘’โตแล้วยังงอนอีกหรือ ‘’ ผมกระซิบที่ข้างหูและโอบเขาไว้แน่น
ผมเคลื่อนปากไปที่แก้มใส เขาก็ยังนิ่งเฉยอีก ผมหัวเราะเบาๆและเอ่ยว่า ‘’ ถือว่าหล่อใช่ไหมทำใจน้อย โธ่
คุณก็รู้ว่าผมรักคุณแค่ไหนและไอ้อย่างที่ทำนั้นน่ะทำไมผมจะไม่ชอบแต่เวลาที่ผมกำลังมีสมาธิอ่านหนังสือน่ะอย่าเพิ่งเลยเพราะใจผม
มันคอยโลดอยู่แล้วเดี๋ยวก็สอบไม่ผ่านเอาไว้เวลาอื่นๆอย่างเวลานี้’’ ผมพูดไม่ทันจบก็พูดอะไรไม่ออกเพราะเขาหันหน้ามาประกบริมฝีปากกับผมทันที
ผมไม่ทันรู้ตัวเลยล้มลงนอนบนเก้าอี้แล้วถูกร่างสูงนั้นกอดทับเสียแนบสนิท
จากนั้นเราก็ระเบิดเสียงหัวเราะกันออกมาจนเกือบลืมไปว่าขณะนี้ตี 3 เข้าไปแล้ว
เลยลุกขึ้นประคองกันเดินกลับหอพักขณะเดินกลับผมบอกเขาว่า เราคงต้องเรียนรู้นิสัยและปรับตัวเข้าหากันและกัน
เพื่อเราจะได้ใช้ชีวิตร่วมกันในเมื่อกรอบของสังคมมันก็ขีดเส้นอยู่แล้วใครล่ะจะเข้าใจ
ทุกคนคงประณามหาว่าผมกับเขาซึ่งมีพร้อมทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต
แต่ก่อนเรื่องบัดสีน่าอายแต่ผมก็รู้ตัวว่าผมไม่ผิด
เขาก็ไม่ผิดในเมื่อเรามีความต้องการร่วมกัน รักกันเป็นสุขด้วยกัน
คนเราต้องการอะไรมากกว่านี้อีกหรือ การสอบผ่านไปอย่างเรียบร้อย ก็ถึงช่วงหยุดเทอม grade ของผมดีเยี่ยมเช่นเคย ของดีโอก็เรียบร้อย
และเขากลับไปเยี่ยมบ้านเป็นเวลาหนึ่งเดือนผมก็อยากกลับมาเมืองไทยเช่นกันแต่ระยะทางไม่ใช่ใกล้เลย
และผมคิดว่าอีกปีเดียวก็จะจบแล้วก็เลยไม่กลับ เขาบอกว่าเราได้พบแล้ว
ความรักที่รอคอยมาเกือบ 30 ปี
ผมพยายามหาอะไรทำผมไปว่ายน้ำและไปเข้าคอร์สบริหารกายเพื่อให้แข็งแรงและรูปร่างดูดีขึ้น
ซึ่งในอเมริกามีสถานบริการเหล่านี้มากมายทำให้ผมหลับสบายคลายคิดถึงเขาไปได้บ้าง
เวลาผ่านไปไม่กี่สัปดาห์แต่ดูเหมือนเป็นหลายเดือน ผมเกิดความรู้สึกใหม่ๆขึ้นผมยอมรับว่าผมมีความสุขกับรัก
ความใกล้ชิดสนิทสนมแต่มันยังไม่สมบูรณ์มันขาดอะไรไปอย่างหนึ่งซึ่งผมไม่รู้ว่าคืออะไร
ใกล้วันเกิดเข้าทุกทีมีการ์ดจากเมืองไทยส่งมาหลายฉบับผมยิ่งคิดถึงเขามาก
จนถึงวันเกิดเขาก็ยังไม่มาคืนนั้นผมฝันอะไรมากมาย ซึ่งก็มีแต่ดีโออยู่ในฝัน
เช้าขึ้นผมตื่นอย่างเศร้าซึมถ้าอยู่เมืองไทยผมคงใส่บาตรกลางวันคงมีเลี้ยงกันในครอบครัว
ผมเองนั่งมองดูอาหารต่างๆ ที่ผมไปซื้อมาเพื่อเตรียมฉลองกัน 2 คน เทียนสีแดง 2 เล่ม เทปเพลงแห่งความรักที่ผมเตรียมไว้ดูเหงาหงอย
ผมไม่มีกระจิดกระใจเสียเลยเดินออกไปทานอาหารข้างนอก ไปห้องสมุดแล้วก็กลับมานั่งอยู่ใต้ต้นไม้บนม้านั่งตัวนั้นรำลึกถึงความหลังต่างๆ
อยู่จนมืด ผมเดินขึ้นอย่างหงอยๆ เมื่อไขกุญแจห้องเข้าไปก็ต้องตกใจสุดขีดที่โต๊ะกลางห้อง
มีเทียนไขสีแดงจุดสว่างอยู่กลิ่นกุหลาบหอมฟุ้งไปหมดผมจึงได้สังเกตเห็นมีกุหลาบสีแดงปักในแจกันตามมุมห้องและบนโต๊ะด้วย
มี cake วางอยู่และอาหารต่างๆ ซึ่งเพิ่งทำเสร็จใหม่ๆ
ยังกรุ่นๆอยู่ก่อนที่ผมจะตลึงงันไปกว่านี้ ประตูห้องน้ำก็เปิดออก
ดีโอยืนอยู่ตรงนั้น แผ่นอกเปลือยเปล่า มีผ้าเช็ดตัวพันท่อนล่างอยู่หยดน้ำเกาะพราวบนแขนขาและผ้าสีน้ำตาลไหม้
เขายิ้มแล้วเคลื่อนเข้ามากอดผมจนแน่น
จูบผมที่หน้าผากฟอดใหญ่แล้วก็ผละไปแต่งตัวที่มุมห้องแล้วก็เริ่มพูดไปเรื่อยๆ ‘’ใจผมร้อนจะแย่ติดธุระด่วนที่บ้านแล้วผมจะเล่าให้ฟัง
ผมกลัวคุณโกรธ ไม่โกรธผมนะ ยังไงก็ยังไม่สาย
ผมเตรียมอะไรมาให้คุณตั้งแยะน่ะเป็นของพื้นเมืองกลับมาถึงนี่ไม่เห็นคุณแต่เห็นเตรียมของไว้แยะผมก็เลยทำอาหารเสียเลยเพราะรู้ว่าคุณทำไม่เป็น
เป็นยังไงชอบไหมกุหลาบสีแดงพวกนี้ ผมรู้ว่าคุณชอบผมกะว่าจะเอาให้คุณเมื่อมาถึงแต่คุณไม่อยู่ก็เลยเอาใส่แจกันไว้รอบห้อง
ผมคิดถึงคุณจังเลยรู้ไหม ‘’ เขาแต่งตัวเสร็จก็หันมาบอกผมว่า
‘’ ไปอาบน้ำแต่งตัวเร็ว วันเกิดต้องสดใสต้องหล่อรู้ไหม
ผมไม่ยอมให้คนรักผมซึมเศร้าอย่างนี้หรอกหรือจะให้ผมอาบให้’’ ผมหัวเราะออกมาได้แล้วรีบเข้าห้องน้ำ
อาบน้ำแต่งตัวเสร็จอารมณ์ผมก็ลิงโลดและสดใสมาก ฮัมเพลงเบาๆ
และผมก็พูดเป็นคำแรกของวันนี้ว่า ‘’ ผมคิดถึงคุณมากรู้ไหม ดี โอ ‘’ แล้วเราก็เริ่มทานอาหารกัน เขาหยอกล้อเอาใจผมตลอดเวลา
เล่าเรื่องการเดินทาง เรื่องทางบ้านให้ผมฟัง
เมื่อเสร็จแล้วก็ดึงเอาผมเข้าไปนั่งแนอกเขาและร้องเพลง Happy Birthday ให้ผมเบาๆ จนจบ เขาก้มจูบผมอีกที่แก้มใสนั่นเอง
แล้วเขาก็ส่งกล่องเล็กๆ ให้ผมกล่องหนึ่ง เขาบอกว่าเป็นของขวัญที่เขาตั้งใจจะให้ผม
พอเปิดดูเป็นสร้อยคอสีทอง
มีตัวอักษรเรียงกันอยู่เป็นชื่อผมและเขาเป็นภาษาอังกฤษเขาบอกว่าเขาสั่งช่างที่บัวโบสไอเรสทำ
แล้วก็ใส่รอบคอให้ผม ผมตัด cake แล้วไปป้อนให้เขา แล้วนั่งกินกาแฟกันไป คุยกันไปจนอิ่ม
เราช่วยกันเก็บถ้วยจานล้างทำความสะอาด
หลังจากทำความสะอาดร่างกายกันอีกครั้งเราก็มานั่งอิงแอบฟังเพลงกันท่ามกลางกลิ่นกุหลาบแดงอบอวล
เพลงรักเจื้อยแจ้วว่าตรงกับความรู้สึกของสองเราเหลือเกิน
เรากระซิบกระซาบคำรักให้แก่กัน สัมผัสกันแนบชิดกันเกินนานเขาซุกไซร้ใบหน้า
ลำคอและค่อยๆ ถอดเสื้อผมออกแล้วโลมไล้ไปทั่วเขาถามว่า’’ ผมไม่อยู่ คุณไปทำอะไรมาเนี่ยะกล้ามขึ้นเป็นมัดๆ
เลยๆ’’ ผมอธิบายให้ฟัง แล้วก็เริ่มไม่อยู่นิ่งบ้างสอดส่ายมือเข้าไปใต้ชายเสื้อเขาลูบไล้ไรขนบางบนแผ่นอกแข็งแรงนั่น
ผมเอนตัวราบลงตามแรงซุกไซร้ของเขา เขาลุกขึ้นถอดเสื้อออก
แสงเทียนสลัวจับร่างสีทองแดงเด่นสะดุดตา เขาก้มลงกระซิบข้างหูผมว่า
จะเต็มใจไหมถ้าเขาจะมอบความสุขสมบูรณ์ให้แก่ผมและสิ่งนี้เป็นของขวัญวันเกิดที่เขาตั้งใจจะมอบให้
ผมพยักหน้ารับ กายร้อนซ่าเสียงแหบพร่าเมื่อกายเขาเข้ามาแนบสนิท
ริมฝีปากบรรจงปรนเปรอให้แก่กัน
ผมเข้าใจแล้วว่าความรู้สึกที่เหมือนกับขาดอะไรไปบางอย่างนั้นกำลังเกิดขึ้น
ความหอมหวานแห่งเซ็กซ์จะช่วยปรุงแต่งความมั่นคงแห่งรัก
กางเกงผมหลุดไปตั้งแต่เมื่อไรไม่ทราบ ความต้องการอันเร้นลับซึ่งถูกกดเก็บมาตลอด 30 ปี ของเราทั้งสองได้เปิดเผยจนหมดสิ้น
เป็นครั้งแรกในชีวิตที่แสนจะหวานชื่น
ผมเห็นร่างเปลือยของเขาแนบกับผมในแสงเทียนสีแดงนั่น
เซ็กซ์กำลังดำเนินตามวิธีทางของมัน กำซาบแผ่ซ่านไปทุกอณูเนื้อ
ในที่สุดความเป็นชายของเขาก็หลั่งไหลเอ่อท้นในกายผมและของผมในกายเขา ครั้งแล้วครั้งเล่าจนเทียนสีแดงเผาไหม้จนหมดสิ้นในห้องเหลือแต่ความมืด
เสียงหอบหายใจครางกระเส่าของเราทั้งสองอบอวลไปด้วยกลิ่นอายของความรัก ผมตื่นขึ้น
ความรู้สึกสุขอย่างสมบูรณ์กับคนที่นอนอยู่ข้างๆ ร่างสีน้ำตาลกับสีขาวกอดก่ายกันอยู่
ผมมีความรู้สึกว่าได้ให้ความรู้สึกทุกสิ่งทุกอย่างแก่เขาจนหมดสิ้นแล้ว
ทุกๆเช้าผมก็ตื่นขึ้นด้วยความรู้สึกเช่นนี้โดยมีเขาอยู่เคียงข้างเสมอ
วันเวลาแห่งคความสุขผ่านไปรวดเร็วเหลือเกิน อีกไม่ช้าจะถึงสิ้นปีอีกแล้ว
เราท่องหนังสือกันอย่างหนักรวมทั้งค้นคว้าอย่างขะมักเขม้นเพื่อที่จะเขียนวิทยานิพนธ์’’ เรื่องที่เขียนของเขาและผมใกล้เคียงกันเราจึงช่วยกันหาข้อมูลต่างๆได้
ในที่สุดเวลาที่ผมกลัวก็มาถึง
ผลการสอบประกาศเรียบร้อยแล้ววิทยานิพนธ์ของผมและเขาดีมากจนอาจารย์กล่าวชม
ผู้แทนจากองค์การอนามัยโลกซึ่งเป็นผู้ให้ทุนก็มาจัดเลี้ยงแสดงความยินดี
ก่อนจะกลับไปทำงานใช้ทุน
ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปตามกำหนดการผมจะต้องกลับในอีกหนึ่งสัปดาห์
ส่วนเขาจะต้องทำธุระกับสถานทูตอีกระยะหนึ่งจึงกลับ เราตั้งใจว่าจะขับรถไปทางตะวันตกเพื่อขึ้นเครื่องบินที่นั่น
จะได้เที่ยวตามรัฐต่างๆก่อนที่จะกลับบ้าน คืนนั้นเราช่วยกันเก็บของผมซังกะตายเหมือนคนขาดความรู้สึกคอยจะร้องไห้อยู่เรื่อยต้องหักใจตลอดเวลาเขาเองก็ซึมจนผมใจเสีย
เราแทบจะไม่ได้พูดอะไรกันเลยตลอดคืนจนกระทั่งเขาเอ่ยขึ้นว่า ‘’ ผมเสียใจจริงๆ ในที่สุดเราก็ต้องจากกัน
เราเดินทางไกลเพื่อมาพบกันที่นี่และก็จากกันอย่างไม่มีวันที่จะได้มีความสุขด้วยกันอย่างนี้อีก’’ ผมผวาเข้าไปกอดเขาไว้ แล้วเพ้อเบาๆว่า ‘’ ใครจะเข้าใจเราล่ะ ในเมื่อสังคมขีดกรอบไว้แต่ชายกับหญิงที่จะร่วมชีวิตกันได้
ผมเคยฝันว่าเมื่อเราไปใช้ทุนที่ประเทศของเราแล้ว
ก็สมัครมาทำงานกับองค์การก็ได้เพราะองค์การช่วยคนทั่วโลกก็เหมือนช่วยชาติเรา
เราจะมีความสุขด้วยกันใช้ชีวิตร่วมกันที่แผ่นดินไหนก็ได้ แต่มันก็เป็นไปไม่ได้
ในเมื่อเรายังอยู่กับสังคมกรอบสังคมมันช่างโหดร้ายกับเรานัก’’
แรงกระชับจากอ้อมแขนเขาเนิ่นนานแล้วผมก็ได้ยินเสียงเขา’’ขอให้เราเข้าใจกันและเก็บรักษาความรู้สึกอันมีค่านี้ตลอดไปนะ
วิภัสร์’’ เราออกเดินทางกันแต่เช้า
ผมตั้งใจจะเป็นคนขับรถเอง แต่เมื่อเขาเห้นสภาพซมเซาของผมก็ขอขับเองดีกว่า
เส้นทางดูน่ารื่นรมย์แต่ผมไม่ได้ใส่ใจกับมันเลย ได้แต่นึกถึงความหลังเก่าๆ
แห่งความสุขเวียนมาในมโนภาพ ผมก็เริ่มร้องไห้ กุมมือข้างที่ว่างของเขาไว้แน่น
พิงศรีษะกับไหล่กว้างนั่น เขาเองก็เงียบกริบ
แววตาหมองคล้ำมองไปข้างหน้าเหมือนไร้จุดหมาย เวลา 2 วันผ่านไปก็มาถึงฝั่งตะวันตกและก็ถึงสนามบินเรานั่งมองหน้ากันอย่างไม่รู้จักจะพูดอะไรดี
เสียงเรียกผู้โดยสารให้ขึ้นเครื่องดังขึ้นเขาพยุงผมให้ลุกขึ้นแล้วกระซิบเบาๆที่ข้างหูว่า
‘’คุณต้องเข็มแข็งนะ แล้วจำไว้เสมอว่า
คุณมีผมในหัวใจตลอดไป ‘’ แล้วเขาพูดเป็นภาษาสเปนที่ผมฟังไม่ออกอีก
2 – 3 คำ ผมตอบกลับไปด้วยเสียงสั้นพร่าวว่า ‘’ ผมก็เช่นกัน ลาก่อน ‘’ เขาแอบจูบที่หน้าผากผมอย่างรวดเร็ว
ก่อนที่ผมจะหมุนตัวเข้าห้องผู้โดยสาร ผมหันกลับมาอีกครั้งแล้วก็ได้เห็นหยาดน้ำใสคลอตาคู่นั้นมันเป็นน้ำตาลูกผู้ชายของเขา
ผมขึ้นเครื่องด้วยใจหดหู่แล้วนั่งร้องไห้จนต้องเอาแว่นดำมาใส่
ทำไมหนอกรอบของสังคมถึงได้โหดเหี้ยมเช่นนี้
ความสุขที่ผมรอคอยมานานพอได้พบก็สูญสลายไป เราไม่สามารถที่จะทำลายค่านิยมหรือกรอบอันนี้ดอกหรือ
สังคมถูกต้องแล้วหรือที่กำหนดสิ่งเหล่านี้ขึ้นมา
ท่านผู้อ่านช่วยตอบคำถามต่างๆให้ผมทีเถิดครับ….
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น