วันอังคารที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2557
หัวใจย้อมสี [เรื่องสั้น]
รถสปอร์ตสีเหลืองมะนาวแล่นมาเทียบจอดชิดฟุตบาธ
คนขับไขกระจกติดฟิล์มกรองแสงลง มองออกไปยังซากตึกที่ถึกรื้อทิ้ง
เหลือเพียงพื้นชีเมนต์ซึ่งเป็นกะเทาะเป็นที่
เพิงหมาแหงนอันเกิดจากแผ่นไม้แผ่นกระดาษที่คนทิ้งขว้าง
และสังกะสีแผ่นเล็กแผ่นน้อยยังคงตั้งอยู่อย่างสงบเสงี่ยมใต้ต้นมะขามหลังซากตึก
ป้าย’’รับย้อมผ้าทุกชนิดทุกสี’’ เขียนด้วยลายมือง่ายๆยังติดอยู่หน้าเพิง
แต่ไม่มีผ้ากองโตรอเหปลี่ยนสีอย่างคนแถวนี้เห็นเป็นประจำหลายสิ่งหลายอย่างขาดหายไปจากที่นี้อย่างน่าใจหายสำหรับคนที่ผูกพันมันมานาน
หนุ่มรถเหลืองไขกระจกขึ้น รู้สึกแน่อกขึ้นมาเป็นริ้วๆ เขาอยากร้องไห้…แต่จะร้องเพื่อสิ่งใดเล่า ร้องไปทำไมกัน เขาหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้
เขาเคลื่อนรถออกอย่างซังกะตาย ‘’ เธอเป็นอะไร
วันนี้ถึงต้องเทคหลายครั้ง’’ อุทิศถามเมื่อพักการถ่ายทำไม่ได้นึกตำหนิหนุ่มผู้นั่งเหม่อลอยอยู่เบื้องหน้าสักน้อย
เอไม่ใชคนเหลวไหล เขาเป็นดาราหนุ่มที่ถึงแม้จะโด่งดังแค่ไหน ก็ไม่เคยสร้างปัญหาให้ผู้กำกับ
ไม่เคยผิดนัดหรือมาล่าช้า อุทิศรักเอเหมือนลูกหลาน ‘’ ไม่มีอะไรหรอกอาขอโทษด้วย
ครับที่ทำให้อาและคนอื่นๆเสียเวลา’’คำว่าไม่ม่อะไรกับแววตาช่างไม่พ้องกันเลย
‘’ เฮ่ย ไม่เป็นไรหรอก เธอเคยเหลวใหลเสียที่ไหนล่ะ
นี่ครั้งแรก มีอะไรในใจหรือปล่าวถามจริงๆ’’คนพูดตบไหล่ออีกฝ่ายอย่างเอื้อเอ็นดู’’ ไม่มีจริงๆครับ ‘’ เอพยายามทำหน้าที่ชื่นเพื่อให้อีกฝ่ายเห็นตามคำพูด
‘’ นึกว่าทะเลาะกับนครเสียอีก’’ เอมองหาคนที่อุทิศพูดถึง
อุทิศมองตามเห็นหนุ่มใหญ่ร่างอ้วนกำลังเย้าแหย่ตัวประกอบฝ่ายหญิงฝ่ายชายด้วยกริยาสะดิตสะดิ้งอย่างกระเทยลืมตัว
แต่พอหันมาพบสายตาเอเท่านั้นอาการเหล่านั้นก็หยุดชะงักราวกับติดเบรกชั้นดี
ตัวประกอบทีร่วมวงเฮฮาเห็นดังนั้นก็ยิ่งฮาใหญ่ นครทำหน้าแหยๆ ‘’ทุเรศที่สุด ‘’ เอพึมพำอารมณ์ขุ่นมัวที่กดทับไว้เมื่อครู่พุ่งพล่านเป็นความโกรธจนไม่อาจเก็บสีหน้าไว้ได้
‘’ใจเย็นๆเธอก็รู้ว่าธรรมชาติเขาเป็นอย่างนั้นเอง ‘’ อุทิศและคนในวงการบันเทิงรู้ถึงความสัมพันธ์ของทั้งสองดี
‘’ธรรมชาติเขาเป็นอย่างนั้น ‘’ ใช่สิหนอก็เอเคยขอร้องเคยเตือนมานับครั้งไม่ถ้วน
ให้นครทำตัวเป็น ‘’ แมน’’ เมื่ออยู่ต่อหน้าคนอื่นๆ
และมีเขาอยู่ ณ ที่นั้นด้วยลับหลังจะเป็นนางกระเทยแรดแค่ไหนก็ตามใจ
เพราะเขาเกลียดกิริยาผิดมนุษย์ของพวกนี้เหลือเกิน แต่นครก็มักลืมตัวเสมอ ‘’ ใช่คับอามันเป็นธรรมชาติของเขา ‘’ เอทวนคำถามเศร้าสร้อย จิตสำนึกภายในร้องถามเซ้งแซ่….แล้วธรรมชาติของเราล่ะ เป็นอย่างเดียวกับนครหรือทำไมเราต้องทนอยู่กับ ‘’ หล่อน ‘’ ต่อไป
ในเมื่อแม่เราก็ตายไปแล้ว หมดความจำเป็นที่จะพึ่งพากันอีกต่อไป
ตัวเราเองไม่แคร์หรอก
จะเป็นตายร้ายดียังไงก็ไม่ว่าความลำบากหรือก็คุ้นเคยกับมันจนไม่เคยนึกหวาดหวั่นแม้แต่น้อย
เขาอยากจะไปไปอยู่คนละโลกนคร หากมโนสำนึกค้านขึ้นมาทันทำไมเราถึงเนรคุณปานนั้น แม่เราเคยสุขสบายเพียงไหนระหว่างที่มีชีวิตอยู่
เราได้เดินแฟชั่น ถ่ายปกนิตยสาร เล่นหนัง
จนกลายเป็นดาราที่มีชื่อเสียงเพราะใครไม่ใช่หล่อนดอกหรือ ‘’ หล่อน ‘’ เป็นผู้วิเศษที่เสกผ้าขี้ริ้วอย่างเขาให้กลายเป็นผ้าไหมบนพานทอง
ด้วยความรักท่วมท้นใจ อันที่จริงหล่อนก็พยายามทำตามที่เขาต้องการทุกอย่าง
เพียงแต่อาจจะเผลอไผล ไปตามพื้นนิสัยเดิมบ้างเท่านั้น ถูกแล้วหรือที่จะทิ้งหล่อนไป
รถสปอร์สีเหลืองมะนาวนิ่งสนิทในความมืดอยู่ริมฟุตบาธ
คนขับไขกระจกลงหลังจากดูเพิงหมาแหงนที่เห็นลางๆ ในเงาตะคุ่มของต้นมะขามพอใจแล้ว
เขาปรับเบาะเอนนอนฟังเพลงเบาๆ ในความเย็นฉ่ำของแอร์ภายในรถ
ความคิดถกถียงกันจนสมองปวดร้าว กลับมาถึงบ้าน นครแปลกใจที่เห็น
รถสปอร์ตสีเหลืองจอดอยู่ในโรงรถและบ้านนิ่งงันอยู่ในความมืดราวกับบ้านร้าง ‘’ เอไปไหน’’ สาวประเภทสองสงสัย
รีบไขกุญแจเขาไปในบ้านลนลานเรียกหาเอก็ได้ยินแต่เสียงตัวเองในความเงียบงัน
ลางสังหรณ์ที่เกิดขึ้นหลายวันมาแล้วทำให้พุ่งตัวขึ้นชั้นบนดังลูกศรที่ถูกปล่อยจากคันธนู
เปิดประตูห้องนอนผัวะ ว่างเปล่า!
หล่อนเดินขาสั่นไปหาแผ่นกระดาษที่กุญแจวางทับบนโต๊ะหัวเตียง
ลางสังหรณ์กระตุ้นให้หัวใจเต้นแรงจนอกสะท้อนสะท้าน ‘’ ผมขอคืนรถให้คุณ
คืนทุกอย่างที่คุณให้ผม เงินสดส่วนตัวเท่าที่ผมหาได้อยู่ในลิ้นชัก ผมยกให้คุณ
มันอาจจะมากกว่าที่คุณเคยเกื้อกูลผมและแม่มาแต่บุญคุณของคุณมากยิ่งกว่าอย่างจะเทียบกันไม่ได้ซึ่งผมจะจดจำไปตลอดชีวิต
ยอมรับเถอะครับว่า เราอยู่ด้วยกันไม่ได้ ผมอยากเป็นอิสระ เข้าใจผมด้วยนะครับ ‘’ น้ำใสหยดลงบนกระดาษเปาะแปะมือที่ถือกระดาษสั่นสะท้าน
ริมฝีปากสั่นระริก กล้ามเนื้อทุกส่วนเหมือนจะขาดผึงออกจากกัน ในนาทีนั้น
แล้วร่างนครก็ทรุดฮวบลงกองกับพื้นดั่งก้อนเนื้อที่ไร้ลมหายใจ
โต๊ะในเพิงหมาแหงนใต้ต้นมะขามมีผ้ากองโตวางอยู่ ขณะที่อีกหลายตัวอยู่ในถังน้ำในถึงกำลังเดือด
คนย้อมผ้า สวมหมวกกะโล่หน้าตาอมแมมมีแถบผ้ามุ้ง ปิดจมูก
ปลายผ้าสองข้างยืดกับหมวกกะโล่ เขาใช้ไม้ยาวคุ้ยและสางผ้าในถังให้อมสีทั่วถึงกัน
เบนหน้าหนีไอร้อนไปมาเป็นบางครั้ง
คนย้อมผ้าที่หายหน้าตาไปนานได้กลับมาทำงานใหม่แล้วด้วยหน้าตามอมแมม
ผ้าเผ้าไม่เข้าทรง เสื้อผ้ามอซอเหมือนเดิม แต่ถ้าหากให้เขาล้างหน้าตาให้สะอาด
เปลี่ยนทรงผมใหม่ ก็จะพบใบหน้าที่คอหนังไทยคุ้ยเคย นั่นเป็นสิ่งที่เอพอใจ
ชีวิตเรียบง่ายอย่างนี้เหมาะกับเขามากกว่าชีวิตท่ามกลางเสงสีของโลกมายา
มันเต็มไปด้วยอิสรเสรีที่ผู้ชายทุกคนต้องการ นครไม่ได้ตอแยในช่วงสามเดือนที่ผ่านไป
เอเองก็เชื่อว่าฝ่ายนั้นจะไม่มาหาเขาเป็นอันขาด
นครเคยเลี้ยงหนุ่มหล่อมามาก่อนหน้าเขา แล้วทุกคนก็จากไปด้วยสาเหตุนานาประการ
นครรู้ดีว่า ตนเป็นเพียงสะพานไปสู่ดวงดาวไม่มีความหมายมากกว่านั้น
หากเขาก็พอใจกับสภาพนั้น และดูเหมือนจะทำใจได้ เขาจึงไม่เคยตามใครกลับมา
คล้ายกับไม่แคร์ ใครเลยจะรู้ว่า
หัวใจกะเทยคนนี้ขาดวิ่นไปในทุกครั้งที่มีการจากพรากจนเหลือเพียงเศษเสี้ยวที่พร้อมจะดับ
สูญพากถูกทอดทิ้งอีกครั้งเดียว และเศษเสี้ยวนี้ก็อยู่ในมือของเอหมดสิ้น เอเชื่อว่า
ป่านนี้นครมีคนใหม่ไปแล้ว จึงแปลกใจที่เห็นฝ่ายั้นมาหาที่เพิงหมาแหงน
เป็นนครที่ผอมโซ ไม่อ้วนกลมดังก่อน หน้าตาซูบซีด อย่างคนอดนอน
ผู้มาหาหย่อนตัวนั่งที่ม้ายาวด้วยท่าเงื้องหงงอยราวกับไม่ได้พกพาหัวใจ
มาด้วยข้างเอก็ไม่รู้จะทำตัวเช่นไรถูกได้แต่หันมามองและนิ่งเฉย ‘’ฉัน…ฉันคิดถึงเธอ’’ นครกล่าวเสียงแผ่ว ‘’ ฉันไม่เคย…’’ เขาก้มหน้าน้ำตาร่วงผล็อย ‘’….ไม่เคยรักใครเท่าเธอ…’’ น้ำเสียงสะอื้นจนเอชักใจไม่ดี
ถึงเขาไม่ได้รักก็แคร์ความรู้สึกของนครในฐานที่ฝ่ายนั้นเคยดีต่อเขาและแม่อย่างเหลือเกิน
‘’ …ชีวิตมันว่างเปล่าเมื่อเธอจากมา….’’ นครเอามือปิดหน้าสะอึกสะอื้นเศษเสี้ยวหัวใจที่เหลือหวีดหวิวเจียนจะขาดเสียเดี๋ยวนั้น
เออยากเข้าไปปลอบแต่ไม่รู้จะพูดเช่นไรดี
ยากเหลือเกินที่คนหัวใจที่คนละสีจะพูดกันรู้เรื่อง โดยเฉพาะเรื่องของความรัก
นครถืออาการนิ่งเฉยของอีกฝ่ายเป็นการไม่แยแสอย่างไร้เยื่อใย หัวใจที่บอบช้ำอยู่แล้วยิ่งชอกช้ำหนักลงไปจนไร้สติยับยั้ง
เขาพรวดพราดลุกขึ้น แล้ววิ่งตรงไปที่ถนนซึ่งรถแล่นสวนไปมาขวักไขว่
เอกระโจนวิ่งตามไปใจหายวูบนึกไม่ถึงว่าคนอย่างนครจะทำอย่างนี้ ‘’อย่าพี่…อย่า’’ เอตะโกนสุดเสียงพุ่งตัวไปข้างหน้าเร็ซราวกระสุนปืน
เสียงรถเบรกดังน่าหวาดเสียวพร้อมกับเสียงหวีดว้ายของผู้หญิงที่เห็นเหตุการณ์…..
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น