วันนี้เป็นอีกวันที่อากาศดี ผมไปเดินเล่นที่สวนสาธารณะแห่งหนึ่งขณะที่เดินอยู่นั้น เสียงหนึ่งดังขึ้นใกล้ ๆ เป็นคำพูดตัดพ้อ ออดอ้อน
"แล้วคุณจะทิ้งผมไปอย่างนี้เหรอ" ตอนแรกผมก้อไม่อยากสนใจอะไรหรอกครับ ใจคิดว่าคงเป็นคู่รักทั่วไปมาบอกเลิกกันประมาณว่า เบื่อ มีคนอื่นแล้ว สารพัดจะสรรหามาเอ่ยอ้าง
"คุณรักเขาทั้ง ๆ ที่เขาทำให้คุณร้องให้ครั้งแล้วครั้งเล่า. งั้นเหรอ". เอ เรื่องชักจะน่าสนใจแล้วซิ ผมเริ่มมองหาที่มาของเสียงนั้น พลางก้อเหลือบไปเห็น ชายรูปร่างสูงใหญ่หุ่นหมี กำลังยืนต่อว่าอีกคนอยู่ ซึ่งผมไม่รู้ว่าเป็นใครเพราะมีต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งบังอยู่ ผมคิดว่าน่าจะเป็นผู้หญิงที่สวยเอาการทีเดียวที่ทำให้ชายผู้นี้ เจ็บปวดเสียเซ้วได้ขนาดนี้ ด้วยความที่อยากรู้ว่าเรื่องจะเป็นอย่างไร เพราะมีความอยากรู้อยากเห็นเป็นทุนเดิม อิอิ พลันผมก้อมองเห็นม้านั่งยาวซึ่งมีพุ่มไม้อยู่ด้านหลังใกล้ ๆกับเหตุการณ์ หน้าตาผมขณะนี้เหมือนเด็กที่ได้ของเล่นใหม่ เริงร่าด้วยความอยากรู้ผมค่อย ๆ ย่องเข้าไปนั่งที่ม้ายาวแล้วทำเป็นอ่านหนังสือ ไม่ได้สนใจอะไร แล้วก้อเอาหูฟังมาเสียบหูทั้งสองข้างไว้โดยไม่ได้เปิดเพลง กะว่าถ้าจวนตัวจะได้รอด สักครู่ผมก้อต้องสะดุ้งและต้องค่อย ๆ เอี้ยวตัวไปดูให้แน่ใจผู้ชายคนดังกล่าวกำลังร้องให้ จึงทำให้ผมได้เห็นว่าอีกคนก้อเป็น...ผู้ชาย แต่งตัวภูมิฐานดูมีอายุกว่าคนดังกล่าวนิดหน่อย เขาใช้มือข้างหนึ่งยันต้นไม้ไว้ แล้วก้มหน้าลงพยายามที่จะไม่มองอีกคนที่กำลังฟูมฟาย แล้วคนที่ร้องไห้ก้อเอ่ยขึ้น
"พรุ่งนี้ก้อจะวาเลนไทน์อยู่แล้ว เราจะกลับมารักกันเหมือนเดิมไม่ได้เหรอ" เขาพยายามมองอีกฝ่าย
ไม่มีเสียงตอบใด ๆ มีเพียงอาการส่ายหัว ปฏิเสธคำขอนั้น
" ระหว่างเรามันไม่มีอะไรอีกแล้วนะ และผมอยากจบมันลงเสียที"
" ระหว่างเรา...มันไม่เหลือ. ความทรงจำดี ๆ ความรัก ความห่วงหาอาทรอีกแล้วหรือ" เสียงนั้นสั่นเครือ
"ระหว่างเรา...ยังคงมีสิ่งดี ๆ แต่ผมอยากเก็บไว้ในความทรงจำ คุณอย่า...ได้โปรดขอให้มันจบด้วยดีเถอะ"
"ทำไม..." เขาทรุดตัวลงนั่งคุกเข่ากับพื้น ก้มหน้าคอตก น้ำตาร่วงพราวแต่ไม่มีเสียงคร่ำครวญใด ๆ แล้วอีกฝ่ายก้อเดินจากไป เขาค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมอง ด้วยความอาลัย หมดแรงที่จะเหนี่ยวรั้ง จนกระทั่งคน ๆ นั้นลับสายตา เขาค่อย ๆ ขันตัวขึ้นอย่างยากลำบาก บัดนี้เหมือนคนที่หมดแรงและกำลังใด ๆ ค่อย ๆ ก้าวขาเดินอย่างไม่มีจุดหมายผมรู้สึกว่าความเหงาเข้ามาเกาะกุมหัวใจของผมเมื่อไรไม่รู้ได้ แต่อยากจะบอกเขาเหลือเกินว่า
เพราะเขาไม่ใช่ของคุณ ไม่ว่าคุณจะทำอย่างไรก้อไม่มีวันที่จะรั้งเขาไว้ได้หรอก. แต่ก้อนั่นแหละมันไม่ใช่เรื่องของเรา ละครก้อจบลงแล้วเราจะมัวทำอะไรอยู่เนี่ย และผมก้อค่อย ๆ ปรับความรู้สึกให้เป็นปกติ อ้าวเมื่อทุกอย่างกลับมาเป็นปกติกลับรู้สึกหิวเสียนี่จึงมองนาฬิกาข้อมือเพื่อจะให้แน่ใจ บ่ายโมงแล้วมิน่าถึงหิวแล้ว และก้อนึกขึ้นได้ว่าเดินไปด้านหลังสวนสาธารณะนี้มีร้านอาหารอร่อยอยู่ร้านหนึ่ง ผมจึงมุ่งหน้าไปยังร้านแห่งนั้นเมื่อถึงหน้าร้านก้อพบว่าลูกค้าเพียบ ในใจก้อคิดว่าคงไม่มีโต๊ะแล้ว แต่ด้วยความเสียดายว่าร้านนี้อาหารอร่อยถูกปากจึงทำให้ชะเง้ออยู่พัก เจ้าของร้านเห็นจึงร้องทักขึ้น
"อ้าว เฮียวันนี้มาคนเดียวเหรอ มา มา" เจ้าของร้านให้ความสนิทสนมด้วยอยากได้ลูกค้าหรือเพราะจำผมได้จริง ๆ นะ แต่ด้วยความดีใจผมจึงรีบเดินไปหา
"อ้า อาคุณคนนี้มาคนเดียว ขอนั่งด้วยได้ไหมครับ" ผมมองตามไปว่าเจ้าของร้านพูดกับใคร ใจก้อภาวนาให้เขาไม่ว่าอะไร และจะรีบกินรีบไป แต่ผมต้องหยุดหายใจเมื่อเห็น เขาคนนั้นนั่งก้มหน้า มีเพีบงอาการพยักหน้าให้กับเจ้าของร้าน
"ขอโทษครับ. ขอนั่งด้วยคนครับ แล้วผมจะรีบกินรีบไปครับ" ผมเอ่ยสมทบอีกครั้งเพื่อมารยาท เขาไม่มีอาการโต้ตอบใด ๆ เหมือนไม่รับรู้ จากนั้นผมก้อสั่งอาหารมาทาน
ขณะที่ทานอาหารหมดไปเกือบครึ่งก้อเห็นว่าเขายังไม่ได้แตะต้องอาหารที่สั่งเลย ผมจึงเริ่มพิจารณา เขาเป็นชายหน้าตาเข้ม คิ้วดกดำหนามีจอนบาง ๆ ยาวตลอดจนถึงเครา แต่ด้วยการดูแลและได้รับการตกแต่งจึงทำให้ดูไม่รกตามีเพียงไรหนวดขึ้นเขียว ดวงตาดำขลับนั้นบัดนี้แดงกล้ำชุ่มโชกด้วยหยาดน้ำตา
"ขอโทษครับ..." กลัว ๆ กล้า ๆ "ขอ...ขอโทษครับ" ผมรวบรวมกำลังใจและพูดให้เสียงดังขึ้น เพราะเข้าใจว่าเขาคงไม่ได้ยินเพราะในร้านมีแต่เสียงเอะอะโวยวาย เขาค่อยเงยหน้าขึ้น จ้องมองมาที่ผม ผมตอนนี้เหมือนจะไม่หายใจแล้วแต่ก้อด้วยสัญชาตญานค่อย ๆ เผยยิ้มออก แต่คงไม่สามารถปกปิดใบหน้าอันซีดเผือดได้
"ครับ..." เขาตอบรับด้วยเสียงแผ่วเบาไร้วิญญาน ผมค่อยใจชื้นขึ้น
"ไม่สบายหรือป่าวครับ ผมเห็นคุณไม่แตะต้องอาหารที่อยู่ตรงหน้าเลย ผมรับประกันนะว่าที่นี่เขาอร่อย ผมมาบ่อย". แล้วผมก้อยิ้มกว้างมองดูปฏิกิริยา. เขาก้มหน้าลงนิ่งเงียบเหมือนเคย ผมไม่รู้จะทำไงเลยพูดอะไรเรื่อยเปื่อยหวังให้เขาสบายใจแล้วก้อทานอาหารไปพลางจนกระทั่งหมดเขาก้อนังคงนั่งก้มหน้าอยู่อย่างนั้น ผมถอนหายใจแล้วส่ายหัว
" คุณครับ..อะไรที่มันไม่ใช่ของเรา มันก้อไม่ใช่ของเราวันยังค่ำ อย่างไรก้อดูแลตัวเองนะครับ ขอบคุณที่ให้ผมนั่งร่วมโต๊ะครับ" แล้วผมก้อลุกขึ้นกะว่าจะไปจ่ายตังแล้วกลับเสียที แต่ก้อต้องสะดุ้งสุดตัว เกือบอุทานอะไรออกมาเพราะเขาคว้าข้อมือผมไว้ เมื่อผมมองไปที่เขาก้อสบกับสายตาอ้อนวอนจากดวงตาบวมช้ำนั้น
"มีอะไรหรือป่าวครับ" ผมถือโอกาสเอามืออีกข้างกุมมือเขา โอ้รู้สึกได้ถึงมือที่กำยำและมีไรขนขึ้นเต็ม แอบคิดว่ามันจั๊กจี้ดีแฮะ
"ไม่ทราบว่ารีบไปไหนป่าวครับ." ผมส่ายหน้าและทรุดตัวลงนั่งเหมือนถูกมนต์สะกดโดยไม่ได้ละสายตาไปจากเขา
"ช่วยอยู่เป็นเพื่อนผมสักครู่ได้ไหมครับ." ผมพยักหน้าและยิ้มกว้างรับไมตรีจากเขา ในใจก้อคิดว่าจะให้อยู่เป็นเพื่อนทั้งคืนผมก้อยอมนะ
"แล้วเราจะนั่งเงียบ ๆ ไปถึงเมื่อไรครับ" เขาส่ายหน้าและยิ้มเจื่อน ๆ "แต่ถ้าคุณจะทานอาหารตรงหน้าไปแล้วให้ผมพูดพล่ามไร้สาระก้อไม่เลวนะ" เขาพยักหน้าและเริ่มค่อย ๆ เขี่ยอาหารที่อยู่ตรงหน้า ผมก้อพยายามหาเรื่องอะไรต่อมิอะไรพูดให้เขาลืมเรื่องที่ผ่านมา จนเวลาผ่านไปสักชั่วโมงเห็นจะได้ บรรยากาศในร้านเริ่มเงียบลงเพราะเขาเช็คบิลและทยอยกลับกันหมดแล้ว เมื่อเขาจัดการกับอาหารไปได้ครึ่งจานก้อรวบช้อนแล้วเงยหน้ามองผม ค่อย ๆ ยิ้ม
"ขอบคุณครับ". ผมยิ้มให้
"ขอบคุณที่เตือนสติผมเกี่ยวกับของที่ไม่ใช่ของเรา" เสียงเขาเริ่มสั่นเครือ ผมเอื้อมมือไปลูบที่หลังมือเขาเป็นการปลอบว่าไม่เป็นไร. ไม่เป็นไร. เมื่อเขารู้สึกดีขึ้นเราจึงบอกลากัน ใจหนึ่งผมก้อดีใจที่ช่วยให้คน ๆ หนึ่งกลับมายืนอีกครั้ง แต่อีกใจหนึ่งก้อเสียดายเขาเหลือเกิน
เวลาผ่านไปเป็นปี ผมมีแฟนแล้วแต่ใจสิมันไม่เคยลืมเขาเลย
"พี่ ๆ วาเลนไทน์นี้เราไปเที่ยวที่นี่กันนะ" แฟนผมยื่นบัตรเข้างานให้ดู ผมยิ้นน้อยและพยักหน้ารับโดยไม่ได้ดูรายละเอียดในบัตรเสียด้วยซ้ำดีที่แฟนผมเขาไม่ทันสังเกตุ แล้วเมื่อถึงเวลาผมก้อพาแฟนมาที่โรงแรมตามที่ตกลงกันไว้ ทางโรงแรมจัดแต่งห้องอาหารแบบหรูที่เรามักจะเห็นในภาพยนต์ จัดโต๊ะอาหารที่มีเก้าอี้เฉพาะคู่รัก ทั้งโต๊ะและเก้าอี้คลุมด้วผ้าต่วนสีชมพูหวาน มีแจกันเล็ก ๆ พร้อมดอกกุหลาบแดง 1 ดอก เปิดไฟสลัว เหมาะจริง ๆ ที่คู่รักจะมานั่งพรอดรักกัน ขอกันแต่งงานและอะไรอีกมากมาย แต่ผมกับไม่มีความรู้สึกดังกล่าวเลย ผมนี่มันเลวจริง ๆใช่ไหมครับ เมื่อทานอาหารเสร็จก้อมีการแสดงนิดหน่อยและการจับรางวัลพิเศษสำหรับคู่รัก ผมจึงขอตัวออกไปเดินเล่นด้านนอกซึ่งเป็นสวนเล็ก ๆ ของโรงแรมซึ่งได้รับการตกแต่งให้เข้ากับบรรยากาศความรักด้วย แต่ด้วยทุกคู่รักสนใจกับของรางวัลและการแสดงจึงไม่มีใครอยู่ในสวนแห่งนี้ ผมเดินเล่นและคลอเพลงตามที่ดังมาจากด้านใน ลมเย็นเอื่อย ๆ พัดมากระทบแก้มทำให้รู้สึกเย็นเล็กน้อย ผมหยุดยืนกระชับเสื้อและกอดอกให้รู้สึกอุ่นขึ้น เหม่อมองพระจันทร์กลมโต แม้วันนี้จะไม่ใช่วันขึ้นสิบห้าค่ำแต่พระจันทร์ก้อยังคงงดงามเย็นตาจากแสงนวลอ่อนนั้น ใจก้อนึกว่าจะดีกว่านี้นะถ้ามีเขาคนนั้นยืนอยู่ข้าง ๆ ตอนนี้
ทำไมมายืนอยู่คนเดียวครับ ... ผมได้ยินเสียงนุ่มทุ้มนั้นแผ่วเบา แต่ไม่ได้หันไปมองเพราะคิดว่าอาจเป็นการทักทายของคนอื่น และเสียงนั้นก้อไม่ใช่แฟนผม
" อะไรที่ไม่ใช่ของเรา ก้อไม่มีวันเป็นของเรา..." เสียงนั่นพูดขึ้นอีก แต่คราวนี้. ประโยคนี้ทำให้ผมต้องสนใจเพราะมันเป็นคำพูดของผม ผมหันไปตามเสียงนั้นและต้องขยี้ตา เขาคนนั้นยืนยิ้มอยู่ในขุดสูทเก๋ทำให้เขาดูดีกว่าที่พบครั้งแรกมากใบหน้าเกลี้ยงเกรา โดยมีการเล็มหนวดเคราให้เข้ารูปเป็นอย่างดี ผมไม่ได้พูดอะไรเพราะความตกใจและไม่คิดว่าจะได้เจอเขา
"วันนี้คุณหล่อมากนะครับ" เขาเอ่ยขึ้น
"คระ... ครับ" ผมรับคำแบบตะกุกคะกัก
ยิ่งทำให้เขาหัวเราะออกมาแบบเย้ยหยัน ส่ายหน้าไปมา ไม่เห็นพูดเก่งเหมือนครั้งที่เราพบกันเลยนี่ครับ จากคำพูดนั้นทำเอาผมตัวชาหน้าแดงทำอะไรไม่ถูก เขาค่อยเดินเข้ามาแล้วกอดผมไว้
"ผมคิดถึงคุณครับ ทุกวันเลย" เสียงนั่นนุ่มนวลแผ่วเบาทำเอาผมตัวสั่นไปหมด ผมรู้สึกเหมือนจะละลายหายไปจากที่แห่งนั้น แต่เมื่อรวบรวมสติได้ ผมจึงรู้สึกได้จากไออุ่นจากอ้อมกอดนั้นผมอยากหยุดเวลาไว้ตรงนี้ตลอดไป
"พี่ครับ" เสียงหนึ่งดังขึ้นปลุกเราทั้งสองขึ้นจากพะวัง ผมและเขามองหน้ากัน เมื่อแฟนผมเดินมาใกล้ผมจึงแนะนำให้ทั้งสองรู้จักกัน ผมสังเกตุว่าหน้าเขาถอดสี และแสดงถึงความผิดหวังอย่างเห็นได้ชัด ดวงตากลมโตนั้นมีน้ำใส ๆ ชุ่มอยู่เขารีบขอตัว บัดนี้ในใจผมว้าวุ่นไปหมด นี่มันอะไรกันนี่ทำไม -จะรักกันทำไมไม่บอกกัน ปล่อยเวลาให้ล่วงเลยมาเป็นปี
"เป็นอะไรป่าวครับ" แฟนผมทักขึ้นหลังจากที่เห็นผมเงียบไปนาน แต่เขาแสร้งทำเป็นชวนคุยเรื่องอื่น
" เมื่อกี้ลุ้นเกือบตายแนะ พี่รู้ไหมว่ารางวัลใหญ่ถัดจากเราไปเบอร์เดียวเอง ไม่งั้นละก้อ" แล้วเขาก้อหันมามองหน้าผมที่ได้แต่ก้มหน้าไม่พูดจา เขาหยุดรถลงที่ข้างทาง มีร้านกาแฟเล็ก ๆ อยู่ เราเดินเข้าไปสั่งกาแฟทานกัน ขณะนี้ไม่มีแขกโต๊ะอื่นแล้ว
"พี่มีอะไรจะบอกผมไหม" ผมไม่กล้าสบตาได้แต่ส่ายหัวเบา ๆ
"แล้วทำไมพี่ไม่มองตาผมหล่ะ" แฟนผมเขายิ่งลุกหนัก และเขาก้อเอื้อมมือมากุมมือผมไว้ ไม่รู้น้ำตามันมาจากไหนเอ่อท้นและท่วมลงอาบแก้มผม อาจเป็นเพราะความรู้สึกผิดต่อแฟนและความอึดอัดที่มีอยู่ในใจ แฟนผมยื่นผ้าเช็ดหน้ามาให้ เมื่อเช็ดหน้าเสร็จผมก้อเงยหน้าขึ้นสบตาแฟนผม ใบหน้าเขาอ่อนโยนเจือยิ้มเล็กน้อย
"ไม่เป็นไรครับ. ถ้าพี่รักเขา พี่ก้อไปตามหาเขาเถอะไม่ต้องเป็นห่วงผมหรอกครับ" เสียงนั้นนุ่มนวล ห่วงใยไม่มีความโกรธใด ๆ ทั้งสิ้น ได้ยินอย่างนี้ผมยิ่งรู้สึกผิดมากขึ้น ผมก้มหน้าลง
แฟนผมกำชับมือที่กุมมือผมอยู่เหมือนจะบอกว่าพี่ฟังให้ดีนะ
"ผมเข้าใจดี ของที่ไม่ใช่ของเราให้ไขว่คว้าเท่าไร มันก้อไม่เป็นของเรา" ผมเงยหน้าขึ้นและจ้องไปที่แฟนเพราะคำพูดนั้นมันกรีดแทงหัวใจเหลือเกิน
"ความรักที่แท้จริงไม่จำเป็นต้องครอบครอง เพียงแต่ได้มองคนที่ตนรักมีความสุขก้อพอแล้ว" เสียงนั้นราบเรียบ ตอนนี้ผมเหมือนโดนตบหน้านักสองสามฉาด ทั้ง ๆ ที่เขาเปิดทางให้แต่ในใจมิได้มีความสุขหรือลิงโลดแต่อย่างใด
"แต่...ไม่ใช่ความผิด" เสียงนั้นเงียบหายไปในลำคอ ผมไม่เข้าใจตัวเองในยามนี้จริง ๆ
เขายืนขึ้นและดึงผมเขาไปกอด. "ไม่มีใครผิด ไม่มีใครถูกหรอกครับสำหรับความรัก อยู่ที่ว่าเราจะยอมรับมันได้หรือไม่"
" ใครบางคนพบรักแท้...แค่เปิดตา
ใครบางคนมองหา...กลับไม่เห็น
ใครบางคนได้รักมา...แต่ยากเย็น
ใครบางคนมองเห็น...กลับเมินไป"
กลอนบทนี้มันช่างไพเราะและมีความหมายทั้ง ๆ ที่มันเสียดแทงเข้าไปในหัวใจผม
"ผมขอบคุณสำหรับความรักและความอบอุ่นที่พี่มอบให้ผมตลอดเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมาครับ" เขากระชับกอดนั้นอีกทำให้ผมรู้ว่าการเสียสละนั้นมันต้องมาจากดวงใจที่ยิ่งใหญ่จริง ๆ ซึ่งถ้าเป็นผมคงไม่สามารถ
"ไปเถอะครับพี่ ผมว่าเขายังคงอยู่ที่โรงแรม" แล้วเขาก้อหอมผมที่แก้มถึงจะเป็นความอบอุ่นครั้งสุดท้ายที่เขามีให้ ชีวิตนี้ผมจะไม่มีวันลืมเขาเลย ผมจูบที่หน้าผากเขาเบา ๆ เขายิ้มให้และพยักหน้า ผมรีบหันหลังเรียกแท๊กซี่กลับไปที่โรงแรม ทันทีที่ถึงผมรีบไปที่สนามที่เพิ่งจากกัน ผมมองหาไปทั่ว. ใจก้อภาวนาให้เจอ แต่สุดท้ายก้อมีแต่ความว่างเปล่า ผมเดินคอตก
หาใครอยู่หรือพ่อหนุ่ม เสียงคุณลุงยามดังขึ้น
"ผู้ชาย... " ผมบรรยายลักษณ์และเสื้อผ้าให้คุณลุงฟัง คุณลุงครุ่นคิดอยู่ครู่แล้วก้อส่ายหน้า ผมไม่มีหวังแล้วหรือนี่ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าเขารักเรา ผมหันหลังและคิดว่าจะไปไหนดี
"เดี๋ยวพ่อหนุ่ม เมื่อสักเกือบชั่วโมงมีผู้ชายคนหนึ่งลุงจำลักษณะเขาไม่ได้หรอก รีบเดินผ่านลุงไปแล้วทำไอ้นี่ตกไว้ ลุงเรียกเท่าใดเขาก้อไม่หันมา" แล้วลุงก้อยื่นหูกระต่ายสีแดงมาให้ดู ผมจำได้ทันทีว่าเป็นของเขาด้วยความตื่นเต้นและลืมตัวผมจับแขนลุงเขย่าแบบรีบร้อน เขาไปไหนลุง เขาไปไหน
" เดี๋ยว ๆ ลุงเจ็บ พ่อหนุ่ม". คุณลุงร้องเสียงหลง
เขาเดินไปทางโน้น ผมมองตามมือลุงก้อเห็นป้ายเขียนว่า louge ผมเริ่มมีความหวังจึงรีบเดินกึ่งวิ่งไปในทิศทางที่ลุงบอกปากพรางตะโกนขอบคุณ
เมื่อผมมาถึง ที่นี่เปิดเพลงรักเบาๆ มีคนนั่งอยู่สักสองคนเห็นจะได้ ด้วยไฟที่เปิดสลัว ๆ ทำให้ผมมองไม่ค่อยเห็น เมื่อผมมองไปที่บาร์เห็นชายคนหนึ่ง จึงคิดว่าเป็นเขาจึงรีบเดินไปหาอย่างรีบร้อน
"เอ่อ ไม่ทราบว่า" เมื่อชายผู้นั้นหันมา "ขอโทษครับ" แต่ชายผู้นั้นก้อพยายามที่จะชวนคุย "เอ่อ ขอโทษอีกทีครับ ผมทักผิด คิดว่าเพื่อนครับ". แล้วผมก้อรีบจากมา ระหว่างที่พยายามมองหาอยู่นั้นก้อมีมือคู่หนึ่งโอบกอดมาจากด้านหลัง ผมสะดุ้งและรีบสะบัดออกคิดว่าเป็นชายที่บาร์ที่ผมเดินไปทัก แต่ก้อไม่สามารถหลุดจากกอดนั้นและต้องหยุดลงเมื่อเสียงหนึ่งที่คุ้นหูพูดขึ้น
"หาผมอยู่หรือป่าว" น้ำหอมกลิ่นอ่อนที่คุ้นเคยโชยมาเตะจมูก
"ป่าว" ผมพูดเพราะไม่ได้คิด มันเป็นอัตโนมัต เขาจับตัวผมให้หันมาเผชิญหน้า เขายิ้มแล้วดึงผมมากอดไว้
"อย่าหนีผมไปอีกนะ ผมไม่รู้จะไปตามหาคุณที่ไหน หัวใจของผม" ผมค่อย ๆ โอบกอดตอบ
"จะรักกันทำไมไม่บอกครับ" ผมกระขับกอดให้แน่นเข้า "แต่จากนี้ผมจะไม่ปล่อยให้คุณจากไปอีกแล้ว"
"ผมรักคุณ". เขาพูดขึ้น "ได้ยินหรือยังครับ. ผมรักคุณ คราวนี้จะมาพูดว่าผมไม่บอกไม่ได้แล้วนะครับ"
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น