วันอังคารที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2557

ถนนสายมิตรภาพ [เรื่องสั้น]

ถามจริงๆเถอะวะ ไอ้กุ้งมึงไปคบไอ้ตี๋มันได้อย่างไรวะ กูเห็นมึงไปไหนต่อไหนกันสองคนอยู่เรื่อย’’ นั่นนะสิ? กูละแปลกใจจริง น่าเบื่อจะตายไม่เคยเห็นมีใครคบกับมันได้นานอย่างมึงเลยนะนี่’’ ‘’….’’ ฯลฯ เหล่านี้คือบรรดาคำถามต่างๆ ที่คณะนันท์จะต้องได้ยินได้ฟังอยู่เสมอๆในแวดวงของเพื่อนฝูงแม้จะเป็นคำถามที่ไม่ต้องการคำตอบอย่างจริงจังนัก แต่มันก็ทำให้ผู้ถูกถามอดไม่ได้ที่จะเก็บคำถามเหล่านั้นมานั่งคิดถามตนเองอยู่เสมอในยามที่อยู่ลำพัง นั่นสินะเขาเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าคบใครคนนั้นได้อย่างไรเขาไม่สามารถหาคำตอบให้กับตนเองได้เลย แต่ช่างเถอะคำตอบนั้นจะเป็นอย่างไรก็ตามแต่ ถึงอย่างไรก็ไม่ได้สำคัญอะไรนักหนา ความสำคัญนั้นอยู่ที่ว่าเขาได้เต็มใจและปักใจเสียแล้วที่จะคบกับคนๆนั้นตลอดไปคบกันอย่างเพื่อนหรืออาจจะเกินความเป็นเพื่อนก็ตาม….คณะนันท์ยังจำได้ถึงวันแรกที่รู้จัก….ตี๋วันนั้นเป็นวันแรกของการเรียนในสถาบันแห่งใหม่ นักเรียนทุกคนต่างก็ยังใหม่ด้วยกันทั้งหมด มาจากต่างที่ต่างโรงเรียนแล้วมาเรียนรวมในสถาบันเดียวกัน คณะเดียวกัน ห้องเดียวกัน มาเป็นลูกพระวิษณุพระบรมครูเดียว จึงต่างย่อมประหม่าไม่มีความคุ้นเคยกันเป็นธรรมดาเขาจำได้ว่าในวันนั้น เขาแอบชำเหลืองมองหนุ่มน้อยคนที่นั่งอยู่ข้างเคียงอยู่บ่อยๆมันเป็นความรู้สึกชื่นชมชื่นชมอะไรก็ไม่รู้อาจเป็นผิวขาวๆและรอยยิ้มที่เปิดเผยนั้นกระมัง และจากความรู้สึกชื่นชมนั่นเอง ที่เป็นตัวกำหนดจิตว่าคนๆนี้แหละหนา คือผู้ที่เขาเคยโหยหาปรารถนาจะใกล้ชิดสนิทสนมให้ได้….เมื่อเวลาผ่านล่วงเลยไปช่วงไปการศึกษา เขาจึงรู้สึกว่าเขาทำได้สำเร็จจริงๆท่ามกลางความสงสัยและประหลาดใจของคนหลายคน คณะนันท์ไม่เคยสนใจกับคำพูดของใครๆเลยแม้จะมีเสียงทัดทานตักเตือนอยู่เสมอๆว่าเขาดีเกินไปที่จะคบกับคนๆนั้น ทุกคนคิดว่าเขากำลังจะถูกหลอก….ไม่หรอก….เขาไม่เคยคิดเช่นนั้นเลยจะต้องกลัวไปทำไมกับการถูกหลอกในเมื่อเขาพร้อมที่จะเป็นผู้ให้….โดยไม่คิดหวังว่าจะได้สิ่งใดตอบแทนเลยแม้แต่น้อย….นอกจากการเป็นเพื่อนก็เท่านั้นเองที่เขาปรารถนาจะได้มา….จากคนๆนั้นถึงเพื่อนจะเป็นอย่างไร ถ้าหากเขาทุ่มเทให้แล้วด้วยใจก็ไม่มีสิ่งใดไร้ค่าสักนิด…’’ทำไมสายนักวะ อาจารย์สอนเกือบชั่วโมงแล้ว’’ ….คณะนันท์เอ่ยถามผู้ที่นั่งข้างเคียงด้วยความสงสัย ‘’กูไม่สบายลุกไม่ค่อยไหว นี่ก็แข็งใจมานะไม่อยากขาดเรียน’’หนุ่มน้อยหน้าตี๋สมชื่อพูดเสียงอ่อยๆ ‘’งั้นเดี๋ยวเลิกเรียนก็ไปหาหมอเสียซิ’’ ‘’ไม่รู้จะไปที่ไหนดีคลินิกแถวบ้านก็ไม่ค่อยมี’’  ‘’ เออ? งั้นไปกับกูก็แล้วกันแถวบ้านกูมีคลินิกรู้จักกัน…’’ คณะนันท์ตอบพลางเหลือบสายตาขึ้นมองหน้าเซียวๆของเพื่อนรัก คนที่ใครสงสัยนักหนาว่าคบหาสมาคมกันได้อย่างไรคนนี้นะหรือที่ใครๆลงความเห็นว่าเป็นคนหยิ่ง….เห็นแก่ตัว ไม่หรอก ตั้งแต่คบกันมานั้นเขายังไม่เคยเห็นสิ่งไม่ดีเหล่านั้นปรากฏออกมาให้เห็นเลยสักครั้ง ไม่รู้สิหรืออาจจะมีจริงๆแต่เขามองข้ามสิ่งเหล่านั้นไปโดยง่ายดาย ด้วยเหตุแห่งความเป็นเพื่อนนั้นย่อมมีค่าควรรักษาเกินกว่าจะมาเก็บเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้มาคิดเสียนักหนา คณะนันท์ชอบที่จะนั่งมองหน้าตี๋อยู่บ่อยๆ เนื่องด้วยตี๋เป็นคนผิวขาวผิวสวยจนอาจารย์ท่านหนึ่งตั้งสมญาให้ว่า ‘’ ผิวงาช้าง’’ ซึ่งเขาเองก็เห็นจริงตามนั้นใบหน้าของตี๋เรียวได้รูปคิ้วเข้มและหนาจนอดไม่ได้ที่จะนึกถึงดาราญี่ปุ่นที่เคยดูในทีวี จมูกสวย ริมฝีปากอิ่มสีชมพูจนเกือบแดงโดยไม่ต้องเสริมแต่งแต่ประการใด รูปร่างของตี๋นั้นผิดกับคณะนันท์ไปเลยคนละแบบ คงมีเพียงดวงตาเท่านั้นที่เป็นเสน่ห์และสามรถเรียกร้องให้ผู้พบเห็นเหลียวกลับมามองเป็นคำรบสองอยู่เนืองๆ เขารู้สึกว่าเขาชอบตี๋ตรงที่มีอะไรเหมือนกันหลายๆอย่าง สิ่งหนึ่งที่สำคัญที่สุดคือเขาไม่เคยเสแสร้งเลยสักนิดในเวลาที่อยู่ด้วยกัน เขาสามารถะปล่อยความเป็นตัวของตัวเองออกมาได้อย่างเต็มที่ไม่มีสิ่งใดต้องปิดบังต่อกัน….ตี๋อาจจะมองอย่างยะโสในสายตาของคนอื่นๆแต่สำหรับเขาแล้วกลับรู้สึกว่า ตี๋เป็นคนคุยสนุกร่าเริงเสมอ ในทุกๆวันคนทั้งคู่จะต้องมีกิจกรรมที่ต้องกระทำร่วมกันเป็นประจำ ไม่ว่าเป็นการร่วมรับประทานอาหารด้วยกัน เรียนด้วยกันเล่นเที่ยว หรือกลับบ้านพร้อมกัน หรือหากวันใดที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมไม่ได้มาเรียนก็จะโทรไปบอกให้อีกฝ่ายได้รับรู้ล่วงหน้าเช่นนี้เป็นต้น ดังนั้นสายตาแห่งความสัมพันธ์จึงเริ่มต้นอย่างอบอุ่นบนเส้นทางแห่งความเป็นมิตรตลอดเวลาอะไรบ้างอย่างทำให้มั่นใจว่านี่คือคนที่เขาตั้งใจจะรับไว้เป็นเพื่อนตายตลอดชีวิตทีเดียว ด้วยเหตุนี้ เมื่อได้รับรู้ถึงความเจ็บป่วยของเพื่อนจึงเป็นหน้าที่อยู่เองที่เขาจะต้องคอยอาทรและห่วงใย….
‘’หมอว่าไงบ้างวะ ไอ้ตี๋’’ เขารีบถามทันทีที่ออกมาจากร้านหมอในวันนั้น ‘’ไม่เห็นว่าไง ฉีดยาแล้วก็ให้ยามากินก็แค่นั้น…’’ ‘’พรุ่งนี้คงจะดีขึ้นมาบ้างหรอกเออ? เดี๋ยวแวะกินข้างที่บ้านกูก่อนแล้วกัน’’ คณะนันท์เอ่ยปากชวน….ไม่รู้สิอยากอยู่ใกล้เพื่อนคนนี้ให้นานๆแม้จะยืดเวลาออกไปได้สักนิดก็ยังดี ‘’ กินเหล้าดีกว่ามั้ง’’ ตี๋ทำหน้าตายิ้มๆ ‘’เอางั้นหรอไม่สบายอยู่นะโว้ย เดี๋ยวก็ตายห่าหรอกมึง’’  ‘’ กินเหล้ากับมึงถึงตายห่ากูก็ไม่กลัว ‘’ ตี๋ว่าแล้วหัวเราะทำให้คณะนันท์ต้องพลอยหัวเราะตามไปด้วยทั้งที่ในใจนั้นรู้สึกวูบวาบอย่างไงพิกล แล้วชั่วครู่ต่อมา วงเหล้าวงเล็กๆ ก็เริ่มต้นขึ้นอย่างเงียบๆต่างคนต่างนิ่งเงียบ คิดอะไรกันอยู่ในใจ คณะนันท์รู้สึกอึดอัดใจพิกลเขาอยากจะบอก อยากจะพูดในสิ่งที่ตัวเองคิดอยู่ตลอดเวลา เขารักตี๋เขารู้ดี แต่ตี๋ล่ะ จะรักเขาเหมือนอย่างที่เรารักหรือไม่หรือเพียงแต่เพื่อนเท่านั้น….ช่างเถอะหากได้แต่ความเป็นเพื่อนมันก็น่าภาคภูมิใจเพียงพออยู่แล้วมิใช่หรืออย่าเรียกร้องในสิ่งที่จะทำให้ผิดพลาดเลย… ‘’คิดอะไรวะเงียบเชียว ‘’ ตี๋ถามขึ้น เมื่อเห็นอีกฝ่ายเงียบไปหลังจากน้ำสีทองในขวดพร่องไปกว่าครึ่งค่อน ‘’กูกำลังคิดว่าทำไมมึงมากินเหล้ากับกูได้ ทั้งๆที่มึงไม่เคยกินกับใครเลยนี่หว่า’’ ตี๋หัวเราะเบาๆ‘’กูไม่รู้เหมือนกัน แต่คิดว่ากินกับมึงแล้วสบายใจดีแล้วมึงล่ะกูขอถามบ้างซิ ทำไมมึงมาคบกับกูได้วะ ทั้งๆที่ใครๆก็บอกมึงอยู่แล้วว่ากูเป็นคนคบยาก…’’ คณะนันท์จ้องหน้านั้นอยู่ครู่หนึ่งจึงตอบ ‘’กูก็เคยหาคำตอบอยู่เหมือนกันว่าทำไมแต่ไม่เคยได้คำตอบเลยสักทีเฮ้อ? เอาเป็นว่ากูเต็มใจและรักที่จะคบกับมึงก็แล้วกัน ใครจะว่ายังไงช่างแม่ง…’’ ชายหนุ่มถอดหายใจเฮือกใหญ่ก่อนที่จะกล่าวต่อ ‘’ว่าแต่มึงเถอะ คิดจะคบกับกูจริงใจหรือปล่าว’’ แน่นอนไอ้กุ้ง กูสัญญากูจะคบกับมึงตลอดไป’’ ตี๋ตอบอย่างหนักแน่น ‘’งั้นเอางี้ เรามาจับมือสัญญากันดีกว่า ‘’ คณะนันท์ยื่นมือขวาไปยังผู้ที่นั่งตรงข้าม ‘’สัญญาว่าไง’’ ตี๋เอื้อมมือมาจับมือนั้นไว้ ‘’ สัญญาว่าเราสองคนจะคบกันตลอดจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับผู้หญิงคนไหนเลยจนกว่าจะเรียนจบจากที่นี่ไป ถ้าใครคนหนึ่งแยกตัวไปมีแฟน ก็เป็นอันว่าเราเลิกคบกัน…’’ มันเป็นสัญญาที่ออกจะประหลาดๆอยู่สักหน่อย แต่เขาก็ต้องการอย่างนั้นจริงๆ และคงทนไม่ได้หากต้องสูญเสียชายหนุ่มที่นั่งตรงหน้าไปให้กับใคร อย่างน้อยสัญญาครั้งนี้ก็คงจะช่วยเป็นสิ่งที่ทำให้เขาสบายใจขึ้น ตี๋จะอยู่กับเขาไปอีกนาน ‘’ตกลง’’ ตี๋รับคำสัญญานั้นอย่างไม่ลังเลพลางหยิบแก้วเหล้าตรงหน้าขึ้นดื่ม สายตาของคนทั้งคู่ประสานกัน ความดื่มด่ำแห่งมิตรภาพ ความจริงใจและความปรารถนาดีทั้งมวลถูกถ่ายทอดจากส่วนลึกในดวงใจ ผ่านสายตาเข้าสู่ความรู้สึกดีงาม ซึ่งกันและกัน ‘’กูไม่เคยคิดเลยว่าจะได้เจอเพื่อนดีๆอย่างมึง’’ ตี๋ว่า ‘’กูก็เหมือนกันคิดว่าคงไม่ต้องพูดอะไรมากนะมึงคงเข้าใจทุกอย่าง’’  ‘’ กูเข้าใจ….มากด้วย’’ตี๋พูดยิ้มๆอย่างมีเลศนัย ‘’คืนนี้กูนอนค้างกับมึงนะ’’ ตี๋เอ่ยขึ้นเมื่อหมดเหล้าแก้วสุดท้าย คณะนันท์ยิ้มอย่างพึงพอใจ ในที่สุดสิ่งที่เขาปรารถนาเอาไว้แสนนานก็มาถึงจนได้เขาเคยคาดหวังที่จะได้นอนหลับอยู่ข้างเคียงชายหนุ่มคนนี้สักครั้ง และคืนนี้แหละที่เขาจะได้พิสูจน์ความจริงใจในหัวใจสักทีว่าเขารักตี๋เพียงความเป็นเพื่อน หรือมากกว่ากันแน่….นาฬิกาเลยเที่ยงคืนมานานแล้ว แสงจันทร์ที่สาดส่องเข้ามานั้นช่วงทำลายความมืดในห้องให้สว่างขึ้นได้อีกนิดในความสลัวนั้นคณะนันท์ยังคงเห็นตี๋นอนลืมตาโพรงจ้องมองเขาอยู่ ‘’นอนไม่หลับเหรอ’’  ‘’ อืม.. ‘’ ตี๋ตอบงึมงำ ‘’คิดอะไรวะ…’’ ถามไปแล้วก็ให้รู้สึกหนาวขึ้นมาจับใจในทันทีเห็นร่างของตี๋ขยับเข้ามาจนชิด ‘’กุ้งกูมีอะไรจะถามมึง’’ ตี๋ว่าแล้วแล้วดึงมือคณะนันท์ไปกุมไว้แนบแก้ม ‘’อะไร’’ เสียงนั้นกระซิบแผ่วจนเกือบไม่ได้ยิน ตี๋เงียบไปชั่วครู่ แต่ในความรู้สึกของคณะนันท์ช่างนานเสียเหลือเกิน ‘’มึงรักกูใช่ไหมรักแบบ…’’ ตี๋พูดค้างไว้แค่นั้นก็หยุดถอนหายใจเฮือกใหญ่ รู้สึกลำบากใจที่จะพูดต่อไป ‘’ใช่ตี๋กูรักมึง รักมากด้วย’’ คณะนันท์ตอบพลางเบียดกายเข้าไปซบอยู่ตรงซอกคอของเพื่อนรัก ขอบตาร้อนผ่าวราวน้ำตาจะรินไหลเสียให้ได้ ตี๋โอบมือกอดขณะคณะนันท์ไว้แน่น ความอบอุ่นแผ่กระจายไปทั่วจิตใจของคนทั้งสอง ‘’เราคงทำได้แค่นี้ใช่ไหมกุ้ง’’ตี๋กระซิบถามเมื่อถอนจมูกออกจากแก้มนิ่มๆของคณะนันท์ ‘’ก็คงงั้นมั้งตี๋..ก็เราเป็นเพียงเพื่อนกันนี่’’คณะนันท์ตอบเสียงสั่น ‘’แต่เราก็สามารถสลัดความเป็นเพื่อนไปได้นี่นา ใครเขาจะรู้ว่าเรามีอะไรกันถ้ามึงต้องการ’’  ‘’ไม่หรอกตี๋มันไม่ใช่อย่างนี้ จริงอยู่ไม่มีใครรู้หรอกแต่เราสองคนนี่แหละที่รู้และจะต้องจดจำไปชั่วชีวิตตี๋ฟังนะ’’ คณะนันท์เงยหน้าขึ้นสบตากับอีกฝ่ายแล้วพูดต่อ  ‘’เราอาจจะรักกันก็จริงนะ ใช่กูรักมึงและมึงก็รักกู กูดีใจที่ได้รู้ว่ามึงก็รักกู แต่มึงคิดดูซิว่าหากเราได้ล่วงเกินความเป็นเพื่อนกันแล้ว อะไรจะเกิดขึ้น เราคงมองหน้ากันไม่สนิทนักตี๋เรายังต้องคบกันอีกนานมากอย่ามีอะไรๆมันจบลงในคืนนี้เลยกูรู้มึงต้องการให้กูมีความสุขขอบใจขอบใจมาก…’’  ‘’….’’’  ‘’ แค่เรานอนกอดกันอย่างนี้ก็มีความสุขแล้วไม่ใช่เหรอตี๋….’’ ‘’ใช่…’’ ตี๋ตอบพลางกอดรัดร่างเล็กๆไว้แน่น ‘’ ความรักของเรายังคงอยูต่อไปนะกุ้ง’’ ‘’แน่นอน….ความรักของเราจะซุกซ่อนอยู่ในความเป็นเพื่อนตลอดไปเสมอ’’ คณะนันท์ว่าแล้วก็หลับตานิ่งอยู่ตรงซอกคออุ่นๆของตี๋นั่นเอง คนทั้งคู่นอนกอดกันอยู่เช่นนั้น โดยไม่มีคำพูดใดๆ หลุดลอดมาอีกเลย หากแต่ความเข้าใจนั้นมีอยู่มากโดยไม่ต้องมีคำพูดใดๆเลย ทั้งสองต่างนอนคอยแสงตะวันที่จะมาถึงในรุ่งเช้าพร้อมด้วยความเป็นเพื่อนเช่นเคย คณะนันท์แอบถอนใจเงียบๆสิ่งที่เขาต้องการพิสูจน์ได้จบสิ้นลงแล้ว ในที่สุดเขาก็สามารถพิสูจน์ได้ว่ามีมิตรภาพนั้นมีค่ายิ่งกว่าความรักใดๆทั้งสิ้น มากกว่าอยู่ในใจซึ่งกันและกันไปจนตลอดชีวิต โดยไม่ต้องมีความใคร่มาเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงเลย แสงทองของตะวันเริ่มจับเป็นริ้วๆที่ขอบฟ้า เสียงผู้คนทำมาหากินเริ่มจอแจขึ้นถึงเวลาที่คนทั้งสองต้องจากกันด้วยความเข้าใจ’’กูกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนแล้วกัน เดี๋ยวค่อยเจอกันที่โรงเรียน’’ ตี๋ว่าแล้วแต่งตัวเตรียมออกมา คณะนันท์ตามออกมาส่งที่ประตูด้วยใบหน้าสดชื่น ‘’อย่าลืมเอายาไปกินล่ะ เดี๋ยวตายห่าไปกูจะเหงา’’ ‘’เออน่าไม่ต้องห่วง’’ ตี๋เอียงหน้าเข้ามาใกล้ ‘’ กูยังอยู่ให้มึงด่าอีกหลายปี’’ คณะนันท์อมยิ้มน้อยๆจ้องหน้านั้นอย่างมีความสุข ทั้งคู่สบตากันอยู่ครู่หนึ่งอย่างคนที่เข้าใจอะไรๆต่อกันดี สักครู่จึงระเบิดเสียงหัวเราะออกมาพร้อมๆกันด้วยความอิ่มใจ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น