ถามจริงๆเถอะวะ
ไอ้กุ้งมึงไปคบไอ้ตี๋มันได้อย่างไรวะ กูเห็นมึงไปไหนต่อไหนกันสองคนอยู่เรื่อย’’ นั่นนะสิ? กูละแปลกใจจริง
น่าเบื่อจะตายไม่เคยเห็นมีใครคบกับมันได้นานอย่างมึงเลยนะนี่’’ ‘’….’’ ฯลฯ เหล่านี้คือบรรดาคำถามต่างๆ ที่คณะนันท์จะต้องได้ยินได้ฟังอยู่เสมอๆในแวดวงของเพื่อนฝูงแม้จะเป็นคำถามที่ไม่ต้องการคำตอบอย่างจริงจังนัก
แต่มันก็ทำให้ผู้ถูกถามอดไม่ได้ที่จะเก็บคำถามเหล่านั้นมานั่งคิดถามตนเองอยู่เสมอในยามที่อยู่ลำพัง
นั่นสินะ…เขาเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าคบใครคนนั้นได้อย่างไร…เขาไม่สามารถหาคำตอบให้กับตนเองได้เลย
แต่ช่างเถอะคำตอบนั้นจะเป็นอย่างไรก็ตามแต่ ถึงอย่างไรก็ไม่ได้สำคัญอะไรนักหนา
ความสำคัญนั้นอยู่ที่ว่าเขาได้เต็มใจและปักใจเสียแล้วที่จะคบกับคนๆนั้นตลอดไป…คบกันอย่างเพื่อนหรือ…อาจจะเกินความเป็นเพื่อนก็ตาม….คณะนันท์ยังจำได้ถึงวันแรกที่รู้จัก….ตี๋…วันนั้นเป็นวันแรกของการเรียนในสถาบันแห่งใหม่
นักเรียนทุกคนต่างก็ยังใหม่ด้วยกันทั้งหมด
มาจากต่างที่ต่างโรงเรียนแล้วมาเรียนรวมในสถาบันเดียวกัน คณะเดียวกัน ห้องเดียวกัน
มาเป็นลูกพระวิษณุพระบรมครูเดียว จึงต่างย่อมประหม่าไม่มีความคุ้นเคยกันเป็นธรรมดาเขาจำได้ว่าในวันนั้น เขาแอบชำเหลืองมองหนุ่มน้อยคนที่นั่งอยู่ข้างเคียงอยู่บ่อยๆมันเป็นความรู้สึกชื่นชม…ชื่นชมอะไรก็ไม่รู้…อาจเป็นผิวขาวๆและรอยยิ้มที่เปิดเผยนั้นกระมัง
และจากความรู้สึกชื่นชมนั่นเอง ที่เป็นตัวกำหนดจิตว่า…คนๆนี้แหละหนา คือผู้ที่เขาเคยโหยหาปรารถนาจะใกล้ชิดสนิทสนมให้ได้….เมื่อเวลาผ่านล่วงเลยไปช่วงไปการศึกษา
เขาจึงรู้สึกว่าเขาทำได้สำเร็จจริงๆท่ามกลางความสงสัยและประหลาดใจของคนหลายคน
คณะนันท์ไม่เคยสนใจกับคำพูดของใครๆเลยแม้จะมีเสียงทัดทานตักเตือนอยู่เสมอๆว่าเขาดีเกินไปที่จะคบกับคนๆนั้น
ทุกคนคิดว่าเขากำลังจะถูกหลอก….ไม่หรอก….เขาไม่เคยคิดเช่นนั้นเลยจะต้องกลัวไปทำไมกับการถูกหลอกในเมื่อเขาพร้อมที่จะเป็นผู้ให้….โดยไม่คิดหวังว่าจะได้สิ่งใดตอบแทนเลยแม้แต่น้อย….นอกจากการเป็นเพื่อน…ก็เท่านั้นเองที่เขาปรารถนาจะได้มา….จากคนๆนั้น…ถึงเพื่อนจะเป็นอย่างไร ถ้าหากเขาทุ่มเทให้แล้วด้วยใจ…ก็ไม่มีสิ่งใดไร้ค่าสักนิด…’’ทำไมสายนักวะ อาจารย์สอนเกือบชั่วโมงแล้ว’’ ….คณะนันท์เอ่ยถามผู้ที่นั่งข้างเคียงด้วยความสงสัย
‘’กูไม่สบาย…ลุกไม่ค่อยไหว นี่ก็แข็งใจมานะ…ไม่อยากขาดเรียน’’หนุ่มน้อยหน้าตี๋สมชื่อพูดเสียงอ่อยๆ ‘’งั้นเดี๋ยวเลิกเรียนก็ไปหาหมอเสียซิ’’ ‘’ไม่รู้จะไปที่ไหนดี…คลินิกแถวบ้านก็ไม่ค่อยมี’’ ‘’ เออ?
งั้นไปกับกูก็แล้วกันแถวบ้านกูมีคลินิกรู้จักกัน…’’ คณะนันท์ตอบพลางเหลือบสายตาขึ้นมองหน้าเซียวๆของเพื่อนรัก
คนที่ใครสงสัยนักหนาว่าคบหาสมาคมกันได้อย่างไร…คนนี้นะหรือที่ใครๆลงความเห็นว่าเป็นคนหยิ่ง….เห็นแก่ตัว ไม่หรอก
ตั้งแต่คบกันมานั้นเขายังไม่เคยเห็นสิ่งไม่ดีเหล่านั้นปรากฏออกมาให้เห็นเลยสักครั้ง
ไม่รู้สิ…หรือ…อาจจะมีจริงๆแต่เขามองข้ามสิ่งเหล่านั้นไปโดยง่ายดาย
ด้วยเหตุแห่งความเป็นเพื่อนนั้นย่อมมีค่าควรรักษาเกินกว่าจะมาเก็บเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้มาคิดเสียนักหนา
คณะนันท์ชอบที่จะนั่งมองหน้าตี๋อยู่บ่อยๆ เนื่องด้วยตี๋เป็นคนผิวขาวผิวสวยจนอาจารย์ท่านหนึ่งตั้งสมญาให้ว่า ‘’ ผิวงาช้าง’’ ซึ่งเขาเองก็เห็นจริงตามนั้นใบหน้าของตี๋เรียวได้รูปคิ้วเข้มและหนาจนอดไม่ได้ที่จะนึกถึงดาราญี่ปุ่นที่เคยดูในทีวี
จมูกสวย ริมฝีปากอิ่มสีชมพูจนเกือบแดงโดยไม่ต้องเสริมแต่งแต่ประการใด
รูปร่างของตี๋นั้นผิดกับคณะนันท์ไปเลยคนละแบบ
คงมีเพียงดวงตาเท่านั้นที่เป็นเสน่ห์และสามรถเรียกร้องให้ผู้พบเห็นเหลียวกลับมามองเป็นคำรบสองอยู่เนืองๆ
เขารู้สึกว่าเขาชอบตี๋ตรงที่มีอะไรเหมือนกันหลายๆอย่าง
สิ่งหนึ่งที่สำคัญที่สุดคือเขาไม่เคยเสแสร้งเลยสักนิดในเวลาที่อยู่ด้วยกัน
เขาสามารถะปล่อยความเป็นตัวของตัวเองออกมาได้อย่างเต็มที่ไม่มีสิ่งใดต้องปิดบังต่อกัน….ตี๋อาจจะมองอย่างยะโสในสายตาของคนอื่นๆแต่สำหรับเขาแล้วกลับรู้สึกว่า
ตี๋…เป็นคนคุยสนุกร่าเริงเสมอ
ในทุกๆวันคนทั้งคู่จะต้องมีกิจกรรมที่ต้องกระทำร่วมกันเป็นประจำ
ไม่ว่าเป็นการร่วมรับประทานอาหารด้วยกัน เรียนด้วยกันเล่นเที่ยว
หรือกลับบ้านพร้อมกัน
หรือหากวันใดที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมไม่ได้มาเรียนก็จะโทรไปบอกให้อีกฝ่ายได้รับรู้ล่วงหน้าเช่นนี้เป็นต้น
ดังนั้น…สายตาแห่งความสัมพันธ์จึงเริ่มต้นอย่างอบอุ่นบนเส้นทางแห่งความเป็นมิตรตลอดเวลา…อะไรบ้างอย่างทำให้มั่นใจว่านี่…คือคนที่เขาตั้งใจจะรับไว้เป็นเพื่อนตายตลอดชีวิตทีเดียว ด้วยเหตุนี้
เมื่อได้รับรู้ถึงความเจ็บป่วยของเพื่อนจึงเป็นหน้าที่อยู่เองที่เขาจะต้องคอยอาทรและห่วงใย….
‘’หมอว่าไงบ้างวะ ไอ้ตี๋’’ เขารีบถามทันทีที่ออกมาจากร้านหมอในวันนั้น ‘’ไม่เห็นว่าไง ฉีดยาแล้วก็ให้ยามากินก็แค่นั้น…’’ ‘’พรุ่งนี้คงจะดีขึ้นมาบ้างหรอก…เออ? เดี๋ยวแวะกินข้างที่บ้านกูก่อนแล้วกัน’’ คณะนันท์เอ่ยปากชวน….ไม่รู้สิ…อยากอยู่ใกล้เพื่อนคนนี้ให้นานๆแม้จะยืดเวลาออกไปได้สักนิดก็ยังดี ‘’ กินเหล้าดีกว่ามั้ง’’ ตี๋ทำหน้าตายิ้มๆ ‘’เอางั้นหรอ…ไม่สบายอยู่นะโว้ย เดี๋ยวก็ตายห่าหรอกมึง’’ ‘’ กินเหล้ากับมึงถึงตายห่ากูก็ไม่กลัว ‘’ ตี๋ว่าแล้วหัวเราะทำให้คณะนันท์ต้องพลอยหัวเราะตามไปด้วยทั้งที่ในใจนั้นรู้สึกวูบวาบอย่างไงพิกล
แล้วชั่วครู่ต่อมา วงเหล้าวงเล็กๆ ก็เริ่มต้นขึ้นอย่างเงียบๆต่างคนต่างนิ่งเงียบ
คิดอะไรกันอยู่ในใจ คณะนันท์รู้สึกอึดอัดใจพิกลเขาอยากจะบอก
อยากจะพูดในสิ่งที่ตัวเองคิดอยู่ตลอดเวลา เขารักตี๋…เขารู้ดี แต่ตี๋ล่ะ จะรักเขาเหมือนอย่างที่เรารักหรือไม่…หรือเพียงแต่เพื่อนเท่านั้น….ช่างเถอะหากได้แต่ความเป็นเพื่อนมันก็น่าภาคภูมิใจเพียงพออยู่แล้วมิใช่หรือ…อย่าเรียกร้องในสิ่งที่จะทำให้ผิดพลาดเลย… ‘’คิดอะไรวะเงียบเชียว ‘’ ตี๋ถามขึ้น
เมื่อเห็นอีกฝ่ายเงียบไปหลังจากน้ำสีทองในขวดพร่องไปกว่าครึ่งค่อน ‘’กูกำลังคิดว่าทำไมมึงมากินเหล้ากับกูได้
ทั้งๆที่มึงไม่เคยกินกับใครเลยนี่หว่า’’ ตี๋หัวเราะเบาๆ‘’กูไม่รู้เหมือนกัน แต่คิดว่ากินกับมึงแล้วสบายใจดี…แล้วมึงล่ะกูขอถามบ้างซิ ทำไมมึงมาคบกับกูได้วะ
ทั้งๆที่ใครๆก็บอกมึงอยู่แล้วว่ากูเป็นคนคบยาก…’’ คณะนันท์จ้องหน้านั้นอยู่ครู่หนึ่งจึงตอบ ‘’กูก็เคยหาคำตอบอยู่เหมือนกันว่าทำไมแต่ไม่เคยได้คำตอบเลยสักที…เฮ้อ?
เอาเป็นว่ากูเต็มใจและรักที่จะคบกับมึงก็แล้วกัน ใครจะว่ายังไงช่างแม่ง…’’ ชายหนุ่มถอดหายใจเฮือกใหญ่ก่อนที่จะกล่าวต่อ ‘’ว่าแต่มึงเถอะ คิดจะคบกับกูจริงใจหรือปล่าว’’ แน่นอนไอ้กุ้ง กูสัญญากูจะคบกับมึงตลอดไป’’ ตี๋ตอบอย่างหนักแน่น ‘’งั้นเอางี้ เรามาจับมือสัญญากันดีกว่า ‘’ คณะนันท์ยื่นมือขวาไปยังผู้ที่นั่งตรงข้าม ‘’สัญญาว่าไง’’ ตี๋เอื้อมมือมาจับมือนั้นไว้ ‘’ สัญญาว่า…เราสองคนจะคบกันตลอดจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับผู้หญิงคนไหนเลยจนกว่าจะเรียนจบจากที่นี่ไป
ถ้าใครคนหนึ่งแยกตัวไปมีแฟน ก็เป็นอันว่าเราเลิกคบกัน…’’ มันเป็นสัญญาที่ออกจะประหลาดๆอยู่สักหน่อย
แต่เขาก็ต้องการอย่างนั้นจริงๆ
และคงทนไม่ได้หากต้องสูญเสียชายหนุ่มที่นั่งตรงหน้าไปให้กับใคร อย่างน้อยสัญญาครั้งนี้ก็คงจะช่วยเป็นสิ่งที่ทำให้เขาสบายใจขึ้น
ตี๋จะอยู่กับเขาไปอีกนาน ‘’ตกลง’’ ตี๋รับคำสัญญานั้นอย่างไม่ลังเลพลางหยิบแก้วเหล้าตรงหน้าขึ้นดื่ม
สายตาของคนทั้งคู่ประสานกัน ความดื่มด่ำแห่งมิตรภาพ
ความจริงใจและความปรารถนาดีทั้งมวลถูกถ่ายทอดจากส่วนลึกในดวงใจ ผ่านสายตาเข้าสู่ความรู้สึกดีงาม
ซึ่งกันและกัน ‘’กูไม่เคยคิดเลยว่าจะได้เจอเพื่อนดีๆอย่างมึง’’ ตี๋ว่า ‘’กูก็เหมือนกัน…คิดว่าคงไม่ต้องพูดอะไรมากนะ…มึงคง…เข้าใจทุกอย่าง’’ ‘’ กูเข้าใจ….มากด้วย’’ตี๋พูดยิ้มๆอย่างมีเลศนัย
‘’คืนนี้กูนอนค้างกับมึงนะ’’ ตี๋เอ่ยขึ้นเมื่อหมดเหล้าแก้วสุดท้าย
คณะนันท์ยิ้มอย่างพึงพอใจ
ในที่สุดสิ่งที่เขาปรารถนาเอาไว้แสนนานก็มาถึงจนได้เขาเคยคาดหวังที่จะได้นอนหลับอยู่ข้างเคียงชายหนุ่มคนนี้สักครั้ง
และคืนนี้แหละที่เขาจะได้พิสูจน์ความจริงใจในหัวใจสักทีว่าเขารักตี๋เพียงความเป็นเพื่อน
หรือ…มากกว่ากันแน่….นาฬิกาเลยเที่ยงคืนมานานแล้ว
แสงจันทร์ที่สาดส่องเข้ามานั้นช่วงทำลายความมืดในห้องให้สว่างขึ้นได้อีกนิด…ในความสลัวนั้นคณะนันท์ยังคงเห็นตี๋นอนลืมตาโพรงจ้องมองเขาอยู่
‘’นอนไม่หลับเหรอ’’ ‘’ อืม.. ‘’ ตี๋ตอบงึมงำ ‘’คิดอะไรวะ…’’ ถามไปแล้วก็ให้รู้สึกหนาวขึ้นมาจับใจในทันทีเห็นร่างของตี๋ขยับเข้ามาจนชิด
‘’กุ้ง…กูมีอะไรจะถามมึง’’ ตี๋ว่าแล้วแล้วดึงมือคณะนันท์ไปกุมไว้แนบแก้ม ‘’อะไร’’ เสียงนั้นกระซิบแผ่วจนเกือบไม่ได้ยิน ตี๋เงียบไปชั่วครู่
แต่ในความรู้สึกของคณะนันท์ช่างนานเสียเหลือเกิน ‘’มึงรักกูใช่ไหม…รักแบบ…’’ ตี๋พูดค้างไว้แค่นั้นก็หยุดถอนหายใจเฮือกใหญ่
รู้สึกลำบากใจที่จะพูดต่อไป ‘’ใช่ตี๋…กูรักมึง รักมากด้วย’’ คณะนันท์ตอบพลางเบียดกายเข้าไปซบอยู่ตรงซอกคอของเพื่อนรัก
ขอบตาร้อนผ่าวราวน้ำตาจะรินไหลเสียให้ได้ ตี๋โอบมือกอดขณะคณะนันท์ไว้แน่น
ความอบอุ่นแผ่กระจายไปทั่วจิตใจของคนทั้งสอง ‘’เราคงทำได้แค่นี้…ใช่ไหมกุ้ง’’ตี๋กระซิบถามเมื่อถอนจมูกออกจากแก้มนิ่มๆของคณะนันท์ ‘’ก็คงงั้นมั้งตี๋..ก็เราเป็นเพียงเพื่อนกันนี่’’คณะนันท์ตอบเสียงสั่น ‘’แต่เราก็สามารถสลัดความเป็นเพื่อนไปได้นี่นา
ใครเขาจะรู้ว่าเรามีอะไรกัน…ถ้ามึงต้องการ’’ ‘’ไม่หรอกตี๋…มันไม่ใช่อย่างนี้ จริงอยู่ไม่มีใครรู้หรอก…แต่เราสองคนนี่แหละที่รู้และจะต้องจดจำไปชั่วชีวิต…ตี๋ฟังนะ’’ คณะนันท์เงยหน้าขึ้นสบตากับอีกฝ่ายแล้วพูดต่อ ‘’เราอาจจะรักกันก็จริงนะ ใช่…กูรักมึงและมึงก็รักกู กูดีใจที่ได้รู้ว่ามึงก็รักกู
แต่มึงคิดดูซิว่าหากเราได้ล่วงเกินความเป็นเพื่อนกันแล้ว อะไรจะเกิดขึ้น
เราคงมองหน้ากันไม่สนิทนักตี๋…เรายังต้องคบกันอีกนานมาก…อย่ามีอะไรๆมันจบลงในคืนนี้เลย…กูรู้…มึงต้องการให้กูมีความสุข…ขอบใจ…ขอบใจมาก…’’ ‘’….’’’ ‘’ แค่เรานอนกอดกันอย่างนี้ก็มีความสุขแล้วไม่ใช่เหรอตี๋….’’ ‘’ใช่…’’ ตี๋ตอบพลางกอดรัดร่างเล็กๆไว้แน่น ‘’ ความรักของเรายังคงอยูต่อไปนะกุ้ง’’ ‘’แน่นอน….ความรักของเราจะซุกซ่อนอยู่ในความเป็นเพื่อนตลอดไปเสมอ’’ คณะนันท์ว่าแล้วก็หลับตานิ่งอยู่ตรงซอกคออุ่นๆของตี๋นั่นเอง
คนทั้งคู่นอนกอดกันอยู่เช่นนั้น โดยไม่มีคำพูดใดๆ หลุดลอดมาอีกเลย
หากแต่ความเข้าใจนั้นมีอยู่มากโดยไม่ต้องมีคำพูดใดๆเลย
ทั้งสองต่างนอนคอยแสงตะวันที่จะมาถึงในรุ่งเช้าพร้อมด้วยความเป็นเพื่อนเช่นเคย
คณะนันท์แอบถอนใจเงียบๆสิ่งที่เขาต้องการพิสูจน์ได้จบสิ้นลงแล้ว
ในที่สุดเขาก็สามารถพิสูจน์ได้ว่ามีมิตรภาพนั้นมีค่ายิ่งกว่าความรักใดๆทั้งสิ้น
มากกว่าอยู่ในใจซึ่งกันและกันไปจนตลอดชีวิต
โดยไม่ต้องมีความใคร่มาเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงเลย
แสงทองของตะวันเริ่มจับเป็นริ้วๆที่ขอบฟ้า
เสียงผู้คนทำมาหากินเริ่มจอแจขึ้นถึงเวลาที่คนทั้งสองต้องจากกันด้วยความเข้าใจ’’กูกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนแล้วกัน
เดี๋ยวค่อยเจอกันที่โรงเรียน’’ ตี๋ว่าแล้วแต่งตัวเตรียมออกมา
คณะนันท์ตามออกมาส่งที่ประตูด้วยใบหน้าสดชื่น ‘’อย่าลืมเอายาไปกินล่ะ เดี๋ยวตายห่าไปกูจะเหงา’’ ‘’เออน่า…ไม่ต้องห่วง’’ ตี๋เอียงหน้าเข้ามาใกล้
‘’ กูยังอยู่ให้มึงด่าอีกหลายปี’’ คณะนันท์อมยิ้มน้อยๆจ้องหน้านั้นอย่างมีความสุข
ทั้งคู่สบตากันอยู่ครู่หนึ่งอย่างคนที่เข้าใจอะไรๆต่อกันดี
สักครู่จึงระเบิดเสียงหัวเราะออกมาพร้อมๆกัน…ด้วยความอิ่มใจ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น