ปลายสะพายกระเป๋าขึ้นไหล่
กระเป๋าสีดำใบใหญ่ที่เดินทางไปกับปลายมาช้านานมันเป็นเหมือนเพื่อนที่ซื่อสัตย์และเป็นเพื่อนแก้เหงาที่ต้องเดินทางไกล…เหมือนเช่นครั้งนี้’’กระเป๋าเพื่อนรัก…พร้อมหรือยังที่จะเดินทางอีกครั้งหนึ่ง’’
ปลายถามมันเงียบๆในใจพร้อมกับก้าวเท้าออกไปข้างหน้า…ก้าวแล้วก้าวเล่า
ความเหงา…ปลายเหงามันตามปลายไปทุกอย่างก้าว ทุกแห่งหน
ปลายกระชับกระเป๋าแนบกับตัวราวกับขับไล่ความรู้สึกเหงาๆและพอจะรู้สึกถึงความอบอุ่นที่มีมันอยุ่เคียงข้าง
ปลายขอบใจมันอยู่ในใจอย่างรู้ทัน ‘’เพื่อนรักขอบใจที่ยังมีเธออเป็นเพื่อน
เรากำลังจะไปเชียงใหม่ ไปเชียงใหม่อีกครั้งหนึ่ง’’
ไม่ใช่ครั้งแรกที่ปลายเดินทางไกล
เป็นครั้งที่สองแล้วและเพียงลำพังกับกระเป๋าที่แสนรักใบนี้ ‘’หลับเถอะเพื่อนรัก
เจ้าคงเหนื่อยเพราะเสื้อผ้าและข้าวของอีกหลายอย่าง หลับสักราตรีหนึ่งเพื่อพรุ่งนี้เราจะถึงเชียงใหม่
เราจะไปหาเขาอีกครั้ง หลับเสียเถอะเพื่อนรัก’’
ปลายวางมันอย่างทะนุทะนอมบนชั้นวาง รถแล่นหลิวออกจากเมืองหลวงมุ่งสู่ทางเหนือ
กว่าจะถึงพรุ่งนี้…หัวใจของปลายก็ถึงจุดหมายเสียแล้ว เขาคงไม่รู้ว่าปลายกำลังจะไปหาเขา
ครึ่งปีที่แล้วซิที่ปลายไม่ได้พบเจอเขาอีก ปลายนับ เวลา วัน
เดือนที่ผ่านมาอย่างเปรมปรีดิ์ปลื้มกับจดหมายฉบับแล้วฉบับเล่า เขาเขียนถึงปลายบ่อย
และปลายก็ตอบเขาทุกทีทุกครั้งจนสามเดือนที่ผ่านมาข่าวคราวก็เงียบหายไปและก็เป็นช่วงที่ปลายเรียนหนัก
ทั้งยังต้องฝึกงาน งานแย่งเวลาของปลายไปหมด แต่ปลายก็ยังเขียนไปถึง
ปลายรอจดหมายจากเขาวันแล้ววันเล่า ทุกอย่างเงียบ…เงียบจนปลายใจหายแต่เขาบอกปลายในจดหมายฉบับสุดท้ายว่า
เขาไม่ว่างมากต้องทำการค้า
ปลายรู้และเห็นใจก็ปลายเคยอยู่กับเขาเกือบอาทิตย์ปลายดูเขาทำงาน…งานที่เขารักหนักหนา
ออกแบบสกีนเสื้อผ้า เขาขยันขันแข็งจนปลายนึกอายและเขานั่นแหละที่ทำให้ปลายได้คิด
ปลายขยันขึ้น
ตั้งใจเรียนและทำงานจนปลายนึกขอบคุณเขาในใจที่ทำให้ปลายเป็นคนที่มีคุณค่าในครอบครัว
พอปลายสอบเสร็จ รีบเก็บเสื้อผ้าลงกระเป๋า
ปลายไม่ได้เขียนไปบอกเขาล่วงหน้าอยากให้เขาตื่นเต้นและแปลกใจเมื่อพบปลายก็เขาย้ำมาในจดหมายบ่อยๆว่ายินดีต้อนรับปลายเสมอ พรุ่งนี้ปลายจะได้พบเขาแล้ว
เขาจะเป็นยังไงบ้างนะ ผอมไปบ้างหรือปล่าว เขาจะเปลี่ยนไปบ้างไหมหนอ…ปลายอยากรู้ ฝนสาดกระทบกับกระจกใสเสียงดังเปาะเปะ
หลายคนดึงผ้าม่านบังกระจกไว้ ปลายนั่งเฉยเพราะชอบมองดูสายฝนโปรยปราย
มองอย่างไม่รู้เบื่อรู้หน่ายปลายมองสายฝนที่อยู่ข้างนอก…มองแล้วชวนให้คิดถึงวันเก่าๆที่ผ่านมา
…วันนั้นฝนตกทั้งวันไม่มีทีท่าจะหยุดลงง่ายๆเขาสกรีนเสื้อเสร็จไปแล้วตั้งแต่เที่ยงจนบ่ายฝนก็ยังตก…ตก...ตกราวฟ้ารั่ว
เขากับปลายหิวแล้ว จึงตัดสินใจออกไปหาอะไรกิน ปลายซ้อนท้ายมอเตอร์ไซด์ของเขาพร้อมกับกางร่มฝ่าสายฝนที่ยังตกพรำ
ปะทะกับสายลมแรงไม่อ่อนหวาน ปลายรู้สึกหนาวแต่ก็หนาวเพียงกาย ใจนั้นอบอุ่น…อุ่นอย่างประหลาดที่ปลายบอกไม่ถูก
บรรยายไม่ได้หมด รู้สึกได้ด้วยใจ ‘’ปลายหนาวมั้ย’’
เขาหันมาถามด้วยรอยยิ้มที่จุดให้โลกของปลายสว่างไสวและน่าอยู่ ‘’ไม่ครับ’’
ปลายตอบตามความรู้สึก ‘’แย่จังเนื้อ ตัวเปียกหมด’’ เขากันมามองปลายแวบเดียว
แล้วหันกลับไปมองหนทางข้างหน้า บังคับรถเลี้ยวไปตามโค้งของถนน ‘’พี่ก็เปียก ผมก็เปียก’’ ‘’คบกับคนไม่มีรถยนต์ก็ลำบากอย่างนี้แหละ’’ ‘’ไม่จริง’’
ปลายแย้งทันที ‘’ไม่เห็นลำบากตรงไหน สนุกดีเสียอีก’’
ปลายพลอยหลับไปอย่างเป็นสุข
มารู้สึกตัวอีกครั้งเมื่อพนักงานต้อนรับประกาศแวะรับประทานอาหารราวๆเที่ยงคืน
…ป่านนี้เขาคงเก็บร้านแล้ว
เขาขายเสื้อที่เขาสกรีนเองในตอนกลางคืน ปลายเคยไปนั่งที่ร้านเขาอยู่สอง-สามวัน
เขากลับบ้านแล้วคงเหงาเพราะอยู่คนเดียว ‘’ผมเหงานะปลาย
และเป็นคนขี้เหงาด้วย’’ เขาบอกปลายในค่ำคืนหนึ่ง ปลายซกบอยู่กับอ้อมกอดอันอบอุ่นของเขา ‘’รู้ไหมว่าเดี๋ยวนี้ผมตามหาความเหงาไม่พบแล้ว’’
เขากระชับวงแขนแน่นยิ่งขึ้น ‘’บ้านหลังนี้เงียบเหงามานาน มันเริ่มมีชีวิตชีวาเมื่อปลายมาเยือน’’
เขาเปรยขึ้นอีก มือข้างที่วางไต่ไปตามใบหน้าของปลายอย่างนุ่มนวล ‘’ให้ปลายเรียกมันว่าบ้านวังเวงได้ไหมครับ’’ ‘’เอาสิ’’
เขาตอบเสียงเบาแต่หนักแน่น ปลายมองเขา…เขามองปลายและขยับตัวพลางจุมพิตตรงหน้าผากปลายอย่างทะนุถนอม
เหมือนปลายเป็นสิ่งของที่แตกร้าวได้ง่าย ป่านนี้เขาคงจะฟังเพลงบรรเลงชื่นชอบ
หรืออาจจะหลับไปแล้ว
บ้านวังเวงคงไม่เงียบเหงาอีกต่อไปเพราะเขาเคยบอกปลายมาในจดหมาย
ปลายคิดถึงบ้านหลังนั้น….บ้านวังเวงปลายเรียกมันเช่นนั้น
ปลายมองอาหารรอบดึกที่อยู่บนโต๊ะข้าวต้มไข่เจียวและหมูแผ่นไม่มีอาหารผักเลยปลายนึกอยากกินผักขึ้นมาปรกติปลายไม่ชอบผัก
แต่เดี๋ยวนี้ก็หันมากินบ้างแล้วเพราะเขาอีกนั่นแหละที่เตือน ‘’ปลายไม่กินผักหรือ’’
เขาถามอย่างงงๆ
ปลายพยักหน้าเป็นเชิงตอบ ‘’ผิดกับพี่ พี่ชอบกินผักมาก
ปลายต้องหัดกินไว้บ้างรู้หรือปล่าว ยิ่งตัวเล็กๆอย่างนี้ มองดูไม่แข็งแรง’’
น้ำเสียงของเขาบอกความห่วงใย ‘’ปลายพบพี่ครั้งนี้ จะแข่งกินผักกับพี่’’
ปลายนึกในใจพลางยิ้มให้กับข้าวต้มที่วางอยู่ข้างหน้า รถแล่นลิ่วอีกครั้ง
ปลายมองดูเพื่อนร่วมเดินทางข้างๆหลายคนนอนหลับไปแล้ว
ปลายคลี่ผ้าห่มคลุมตัวเพราะรู้สึกเย็นขึ้นทุกที ปลายรู้ตัวว่านอนดิ้น
ผ้าห่มหลุดบ่อย ไม่มีใครคอยช่วยคลุมให้เพราะปลายโตแล้ว โตเกินกว่าแม่และใครๆ
จะสนใจ แต่เขา…เขาเอาใจใส่และห่วงใยปลายแม้จะเป็นเพียงเวลาสั้นๆแต่ทุกวินาทีที่ผ่านไปนั้นมีความหมาย
ปลายจำได้ในเช้าวันหนึ่งที่เขาห่มผ้าให้ปลายเพราะผ้าห่มคงหลุดกองอยู่ข้างๆ
ปลายรู้สึกตัวจึงรีบตื่น ปลายยอมรับว่ายังติดนิสัยนอนตื่นสาย
ผิดกับเขาที่ตื่นตั้งแต่เช้าทุกวัน ตื่นขึ้นมาต่อสู้กับชีวิต
ทำงานจึงไม่แปลกใจที่มีสาวๆมารุมรักเขา
แม้กระทั่งผู้ใหญ่ยังอยากยกลูกสาวให้แต่เขาก็ปฏิเสธเรื่อยมา ‘’พี่ควรแต่งงาน’’ปลายสนับสนุนให้เขามีครอบครัว
‘’ไม่…พี่คิดว่าไม่’’ เขามองปลายด้วยท่าทีจะชั่งใจ’’ผมรู้ว่าพี่เหงา
พี่ควรจะมีใครอยู่เป็นเพื่อนช่วยทำงานบ้าน พี่จะได้สบายขึ้นบ้าง’’
ปลายตอบจากใจจริง ดีใจที่เขาจะมีครอบครัวอบอุ่น เขาจะต้องจากพรากกกับปลาย…ปลายก็ยินดีและเต็มใจเพียงได้รู้ว่าเขามีความสุขเท่านั้นพอ
ปลายล้วงผ้าเช็ดหน้าสีขาวจากกระเป๋าเสือ้
มันเคยขาวอย่างไรเดี๋ยวนี้มันก็ยังขาวอย่างนั้นเพราะปลายไม่เคยนำออกใช้
ทะนุถนอมอย่างดี ปลายเพ่งมองลายสกรีนบนผ้า
แต่ก็ไม่เห็นเพราะความมืดสลัวรางแผ่คลุมไปทั่วผ้าผืนนี้…เขาให้ปลาย’’ให้ปลายทำไม…ปลายไม่ชอบผ้าเช็ดหน้าเพราะไม่อยากซับน้ำตา’’ปลายตอบในใจแต่ก็รับไว้
‘’ชอบหรือปล่าว’’ ‘’ชอบ’’
ปลายมองเหงื่อเม็ดเล็กที่เกาะตามหน้าผากและข้างแก้มของเขาหลังจากทำงานเสร็จ
ปลายอยากจะเช็ดให้ แต่ไม่กล้า
รู้ตัวว่าเอาใจคนไม่เก่งมือไม้จึงวางอยู่กับที่
ทั้งๆที่ใจสั่งให้มันขยับไปเช็ด แต่มันก็ทำดื้อกับใจตัวเอง ‘’ชอบใส่เสื้อแบบไหน
พี่จะตัดให้’’ ‘’ชอบเสื้อหลวมๆตัวใหญ่ๆ ผมซื้อกับพี่ก็ได้ของซื้อของขาย’’
แต่พี่จะตัดให้’’ ‘’ผมจะซื้อ’’ปลายดื้อ’’ซื้อให้คนอื่นน่ะก็ควรจะเก็บเงิน’’ ‘’ใครล่ะคนอื่น’’เขาย้อนถาม
ปลายยิ้มไม่ตอบอยากยั่วเขาเล่น’’คนอื่นคือใครที่ปลายจะซื้อเสื้อให้’’เขารุกถาม’’คนสนิท’’
อย่างนั้นพี่ไม่ขาย’’แล้วเขาก็ลุกขึ้นมาเขย่าหัวปลายไปมา
ป่านนี่เสื้อตัวหลวมที่ปลายอยากได้คงจะตัดเสร็จรอปลายอยู่แล้วกระมัง
ปลายรู้สึกตัวอีกครั้งเพราะพนักงานต้อนรับเดินแจกกาแฟ
มองผ่านหน้าต่างออกไปเห็นแสงเรืองรองตรงขอบฟ้า ฟ้าอีกฟากยังเป็นสีเทาอยู่เลย
เขาสูงยืนตระหง่านอย่างท้าทาย
หมอกขาวทอดตัวเป็นสายยาวโยนพาดโค้งเขาลูกนั้นสลับกับลูกโน้น ธรรมชาติต้อนรับอบอุ่น
ปลายอยากสัมผัสกับหมอกเป็นสายๆเหล่านั้น และคงไขว่คว้าจับต้องมันมาแล้ว ….บนดอยสุเทพ เขาพาปลายเที่ยวที่นั่นเมื่อไปถึงในวันแรก
ข้างบนอากาศค่อนข้างหนาวสำหรับปลาย ปลายตื่นเต้นที่เห็นหมอกอยู่เบื้องหน้า
เพียงแค่เอื้อม…ปลายก็คว้าถึงมันและรู้สึกถึงความชื่นเย็นเป็นละอองน้ำตามฝ่ามือและแขน’’ตอนเป็นนักศึกษาผมขึ้นบนดอยสุเทพทุกปีเพื่อต้อนรับน้องใหม่
นานแล้วสิที่ผมไม่ได้ขึ้นมานอกจากจะมีเพื่อนมาเที่ยว’’เขายิ้มอย่างเขินๆในวันแรกที่รู้จักกัน’’ผมคุยไม่เก่งนะ’’ ‘’ผมคุยเก่งแต่ไม่มีสาระ’’ปลายตอบฉะฉานเขาพาปลายไปรับประทานอาหารเที่ยงตรงเชิงดอยแห่งหนึ่ง
ต้นไม่ขึ้นเขียวครึ้มร่มรื่น ข้างๆเป็นแอ่งน้ำขนาดใหญ่
ลมเคลื่อนไล่ตามๆกันมาไม่ขาดสาย
ใบไม้ไหวระริกพลิกใบตามสายลมราวกับมันโบกมือให้พร้อมๆกันหลายร้อยหลายพันใบ…
จนนับไม่ถ้วน
เขาสั่งอาหารด้วยภาษาเหนือ
น้ำเสียงเพราะรื่นหูที่ปลายชอบฟังกับเด็กข้างบ้านเขาก็ทักทายเป็นภาษาคำเมือง
ปลายต้องมายืนฟังทุกครั้งที่ได้ยิน’’ภาษาเหนือไม่ยากหรอกพูดข้าด้วย’ ‘’’ผมอยากหัดพูด’’ปลายบอก ‘’
ผมจะสอนให้’’เขารับอาสา ‘’จะคิดค่าสอนอย่างไร’’ปลายถาม…เขายิ้มก่อนที่จะตอบ’’ผมเรียกค่าสอนสูงมากนะ’’ ‘’เท่าไหร่’’ ปลายยิ้มสู้ ‘’มันมีค่ากว่าเงินทอง
หัวใจไงล่ะ’’ เขาจ้องมองปลายทั้งยังรอคำตอบ’’หัวใจของปลายไม่เคยขายให้ใครถ้ามอบให้ก็คือให้’’ปลายตอบจริงจัง
‘’ผมจะไม่พาใครมาที่นี้อีก ปลายเป็นคนสุดท้าย’’ใบไม้สายลมและสายน้ำต่างรับรู้วาจาของเขาแล้ว
จากวันนั้นจนถึงวันนี้…เขาคอยพาใครไปที่นั่นอีกหรือปล่าวหนอ….และในวันที่ปลายจะกลับกรุงเทพปลายเก็บข้าวของลงกระเป๋าเรียบร้อยแล้ว
‘’พี่รักปลาย’’ เขาเดินเข้ามากอดปลายแน่นและจูบปลายไปตามใบหน้า ‘’ผมไม่อยากให้วันนี้มาถึง’’ ‘’ปลายรักพี่ครับ’’ ‘’พี่สัญญาว่าไม่มีอะไรจะเปลี่ยนแปลงความรักที่พี่มีต่อปลาย
พี่รักปลาย ขอให้ปลายคิดถึงพี่บ้าง บ้านวังเวง…ปลายมาถึงแล้วพร้อมกับทักทายมันอย่างคุ้นเคย
ปลายตรงไปที่หน้าประตู มองตุ๊กตาไม้ที่ใช้สำหรับเคาะเรียกปลายจับมันเขย่าไปมา
เสียงดังต๊อก...ต๊อก...ต๊อก สักครู่มีหญิงสาวเดินออกมาเปิดประตูปลายรู้สึกแปลกใจเหลียวมองดูรอบๆบ้านอีกครั้ง
มันเป็นยังเป็นบ้านวังเวงหลังเดิมที่ปลายเคยมาเยือน
ปลายมั่นใจว่ามาไม่ผิดบ้านอย่างแน่นอน ‘’มาหาใครเจ้า’’น้ำเสียงอ่อนหวานแบบทางเหนือ
ปลายนิ่งไปหัวสมองเริ่มทำงานหนักก่อนที่จะถามว่า’’ที่นี้บ้านใครครับ’’ปลายตอบไม่ตรงคำถาม
‘’บ้านคุณ...”เธอเอ่ยชื่อของเขาชัดถ้อยชัดคำ’’คุณเป็นอะไรกับเจ้าของบ้านครับ’’ปลายเสียมารยาทถาม’’เป็นภรรยาค่ะ’’
เขาแต่งงานแล้วปลายบอกกับตัวเองปลายคงฟังไม่ผิดแต่ปลายไม่อยากเชื่อที่เธอพูด
จะเป็นไปได้ยังไงเพราะเขาปฏิเสธที่จะมีครอบครัวตลอดมา ถึงจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่
คำพูดของเธอก็ทำให้ปลายหวั่นไหว มันมีอิทธิพลมากถึงเพียงนี้เชียวหรือ
ปลายพยายามระงับสติอารมณ์ที่อยู่ลึกๆให้มันสงบนิ่ง ให้มันปั่นป่วนอยู่แต่ภายใน’’คุณมาหาใครคะ’’เธอถามเป็นภาษากลางอีกครั้ง’’ผมคงมาผิดบ้าน
ขอโทษครับ’’
ปลายขยับตัวหันหลังก็ได้ยินเสียงรถมอเตอร์ไซด์แล่นเข้ามาในบ้านของเขาเอง…เขาผอมไปนิด
เขาเปลี่ยนไปบ้างเล็กน้อยปลายดีใจที่ได้พบเขาอีกครั้ง
เขายิ้มให้ปลายแต่ไม่ใช่รอยยิ้มเหมือนแต่ก่อนปลายไม่ได้ยิ้มตอบเขามองปลายแล้วเลยไปมองภรรยาของเขา
ปลายตัดสินใจเดินจากมาทำเหมือนไม่เคยรู้จักกับเขา
ปลายมองเขาแวบสุดท้ายนัยน์ตาเขาราวจะขอโทษปลาย
แต่ความรู้สึกของปลายนั้นเย็นชาไม่ยอมรับรู้อะไรทั้งสิ้นปลายก้าวจากเขามาแล้ว…จากนั้นเมื่อวันที่ท้องฟ้าเป็นสีครามสวยสด
มันต่างจากหัวใจของปลายในตอนนี้ที่หม่นเศร้ายิ่งนักปลายพยายามกลั้นเสียงสะอื้นไห้
แต่ก็ไม่อาจหยุดน้ำใสๆที่ไหลรินอาบแก้ม
หยุดเถอะปลายบอกตัวเองแต่มันก็ไหลรินเป็นทางยาวอย่างไม่ยอมหยุดราวเขื่อนพังทลาย
ปลายกระชับกระเป๋าแนบตัวแน่นยิ่งขึ้นมันมองน้ำตาของปลาย ปลายไม่อายมันหรอกเพราะมันเป็นเพื่อนรักที่ซื่อสัตย์
แม้กระทั่งวันนี้ก็ยังมีมันเป็นเพื่อนในยามเหงา ๆและผิดหวังเช่นนี้….ปลายดีใจไม่ใช่หรือที่เขาจะมีใครสักคนเป็นเพื่อนและอยู่อย่างมีความสุขเหมือนที่ปลายเคยสนับสนุนแต่หัวใจของปลายนั้นเจ็บปวดลึกๆเป็นที่สุด
’’ดอกรักบานดอกหนึ่ง
ในวันซึ้งซึ้ง…วันก่อนเก่า
คือความเหงาเหงา…
และเศร้าเศร้าในวันนี้’’
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น