วันจันทร์ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2557

ความฝันกลางหมอกหมวย [เรื่องสั้น]

ปลายสะพายกระเป๋าขึ้นไหล่ กระเป๋าสีดำใบใหญ่ที่เดินทางไปกับปลายมาช้านานมันเป็นเหมือนเพื่อนที่ซื่อสัตย์และเป็นเพื่อนแก้เหงาที่ต้องเดินทางไกลเหมือนเช่นครั้งนี้’’กระเป๋าเพื่อนรักพร้อมหรือยังที่จะเดินทางอีกครั้งหนึ่ง’’ ปลายถามมันเงียบๆในใจพร้อมกับก้าวเท้าออกไปข้างหน้าก้าวแล้วก้าวเล่า ความเหงาปลายเหงามันตามปลายไปทุกอย่างก้าว ทุกแห่งหน ปลายกระชับกระเป๋าแนบกับตัวราวกับขับไล่ความรู้สึกเหงาๆและพอจะรู้สึกถึงความอบอุ่นที่มีมันอยุ่เคียงข้าง ปลายขอบใจมันอยู่ในใจอย่างรู้ทัน ‘’เพื่อนรักขอบใจที่ยังมีเธออเป็นเพื่อน เรากำลังจะไปเชียงใหม่ ไปเชียงใหม่อีกครั้งหนึ่ง’’ ไม่ใช่ครั้งแรกที่ปลายเดินทางไกล เป็นครั้งที่สองแล้วและเพียงลำพังกับกระเป๋าที่แสนรักใบนี้  ‘’หลับเถอะเพื่อนรัก เจ้าคงเหนื่อยเพราะเสื้อผ้าและข้าวของอีกหลายอย่าง หลับสักราตรีหนึ่งเพื่อพรุ่งนี้เราจะถึงเชียงใหม่ เราจะไปหาเขาอีกครั้ง หลับเสียเถอะเพื่อนรัก’’ ปลายวางมันอย่างทะนุทะนอมบนชั้นวาง รถแล่นหลิวออกจากเมืองหลวงมุ่งสู่ทางเหนือ กว่าจะถึงพรุ่งนี้หัวใจของปลายก็ถึงจุดหมายเสียแล้ว เขาคงไม่รู้ว่าปลายกำลังจะไปหาเขา ครึ่งปีที่แล้วซิที่ปลายไม่ได้พบเจอเขาอีก ปลายนับ เวลา วัน เดือนที่ผ่านมาอย่างเปรมปรีดิ์ปลื้มกับจดหมายฉบับแล้วฉบับเล่า เขาเขียนถึงปลายบ่อย และปลายก็ตอบเขาทุกทีทุกครั้งจนสามเดือนที่ผ่านมาข่าวคราวก็เงียบหายไปและก็เป็นช่วงที่ปลายเรียนหนัก ทั้งยังต้องฝึกงาน งานแย่งเวลาของปลายไปหมด แต่ปลายก็ยังเขียนไปถึง ปลายรอจดหมายจากเขาวันแล้ววันเล่า ทุกอย่างเงียบเงียบจนปลายใจหายแต่เขาบอกปลายในจดหมายฉบับสุดท้ายว่า เขาไม่ว่างมากต้องทำการค้า ปลายรู้และเห็นใจก็ปลายเคยอยู่กับเขาเกือบอาทิตย์ปลายดูเขาทำงานงานที่เขารักหนักหนา ออกแบบสกีนเสื้อผ้า เขาขยันขันแข็งจนปลายนึกอายและเขานั่นแหละที่ทำให้ปลายได้คิด ปลายขยันขึ้น ตั้งใจเรียนและทำงานจนปลายนึกขอบคุณเขาในใจที่ทำให้ปลายเป็นคนที่มีคุณค่าในครอบครัว พอปลายสอบเสร็จ รีบเก็บเสื้อผ้าลงกระเป๋า ปลายไม่ได้เขียนไปบอกเขาล่วงหน้าอยากให้เขาตื่นเต้นและแปลกใจเมื่อพบปลายก็เขาย้ำมาในจดหมายบ่อยๆว่ายินดีต้อนรับปลายเสมอ  พรุ่งนี้ปลายจะได้พบเขาแล้ว เขาจะเป็นยังไงบ้างนะ ผอมไปบ้างหรือปล่าว เขาจะเปลี่ยนไปบ้างไหมหนอปลายอยากรู้  ฝนสาดกระทบกับกระจกใสเสียงดังเปาะเปะ หลายคนดึงผ้าม่านบังกระจกไว้ ปลายนั่งเฉยเพราะชอบมองดูสายฝนโปรยปราย มองอย่างไม่รู้เบื่อรู้หน่ายปลายมองสายฝนที่อยู่ข้างนอกมองแล้วชวนให้คิดถึงวันเก่าๆที่ผ่านมา วันนั้นฝนตกทั้งวันไม่มีทีท่าจะหยุดลงง่ายๆเขาสกรีนเสื้อเสร็จไปแล้วตั้งแต่เที่ยงจนบ่ายฝนก็ยังตกตก...ตกราวฟ้ารั่ว เขากับปลายหิวแล้ว จึงตัดสินใจออกไปหาอะไรกิน ปลายซ้อนท้ายมอเตอร์ไซด์ของเขาพร้อมกับกางร่มฝ่าสายฝนที่ยังตกพรำ ปะทะกับสายลมแรงไม่อ่อนหวาน ปลายรู้สึกหนาวแต่ก็หนาวเพียงกาย ใจนั้นอบอุ่นอุ่นอย่างประหลาดที่ปลายบอกไม่ถูก บรรยายไม่ได้หมด รู้สึกได้ด้วยใจ ‘’ปลายหนาวมั้ย’’ เขาหันมาถามด้วยรอยยิ้มที่จุดให้โลกของปลายสว่างไสวและน่าอยู่ ‘’ไม่ครับ’’ ปลายตอบตามความรู้สึก ‘’แย่จังเนื้อ ตัวเปียกหมด’’ เขากันมามองปลายแวบเดียว แล้วหันกลับไปมองหนทางข้างหน้า บังคับรถเลี้ยวไปตามโค้งของถนน พี่ก็เปียก ผมก็เปียก’’ ‘’คบกับคนไม่มีรถยนต์ก็ลำบากอย่างนี้แหละ’’ไม่จริง’’ ปลายแย้งทันที ‘’ไม่เห็นลำบากตรงไหน สนุกดีเสียอีก’’ ปลายพลอยหลับไปอย่างเป็นสุข มารู้สึกตัวอีกครั้งเมื่อพนักงานต้อนรับประกาศแวะรับประทานอาหารราวๆเที่ยงคืนป่านนี้เขาคงเก็บร้านแล้ว เขาขายเสื้อที่เขาสกรีนเองในตอนกลางคืน ปลายเคยไปนั่งที่ร้านเขาอยู่สอง-สามวัน เขากลับบ้านแล้วคงเหงาเพราะอยู่คนเดียว  ‘’ผมเหงานะปลาย และเป็นคนขี้เหงาด้วย’’ เขาบอกปลายในค่ำคืนหนึ่ง ปลายซกบอยู่กับอ้อมกอดอันอบอุ่นของเขา ‘’รู้ไหมว่าเดี๋ยวนี้ผมตามหาความเหงาไม่พบแล้ว’’ เขากระชับวงแขนแน่นยิ่งขึ้น ‘’บ้านหลังนี้เงียบเหงามานาน มันเริ่มมีชีวิตชีวาเมื่อปลายมาเยือน’’ เขาเปรยขึ้นอีก มือข้างที่วางไต่ไปตามใบหน้าของปลายอย่างนุ่มนวล ‘’ให้ปลายเรียกมันว่าบ้านวังเวงได้ไหมครับ’’เอาสิ’ เขาตอบเสียงเบาแต่หนักแน่น ปลายมองเขาเขามองปลายและขยับตัวพลางจุมพิตตรงหน้าผากปลายอย่างทะนุถนอม เหมือนปลายเป็นสิ่งของที่แตกร้าวได้ง่าย ป่านนี้เขาคงจะฟังเพลงบรรเลงชื่นชอบ หรืออาจจะหลับไปแล้ว บ้านวังเวงคงไม่เงียบเหงาอีกต่อไปเพราะเขาเคยบอกปลายมาในจดหมาย ปลายคิดถึงบ้านหลังนั้น….บ้านวังเวงปลายเรียกมันเช่นนั้น ปลายมองอาหารรอบดึกที่อยู่บนโต๊ะข้าวต้มไข่เจียวและหมูแผ่นไม่มีอาหารผักเลยปลายนึกอยากกินผักขึ้นมาปรกติปลายไม่ชอบผัก แต่เดี๋ยวนี้ก็หันมากินบ้างแล้วเพราะเขาอีกนั่นแหละที่เตือน ‘’ปลายไม่กินผักหรือ’’ เขาถามอย่างงงๆ ปลายพยักหน้าเป็นเชิงตอบ ‘’ผิดกับพี่ พี่ชอบกินผักมาก ปลายต้องหัดกินไว้บ้างรู้หรือปล่าว ยิ่งตัวเล็กๆอย่างนี้ มองดูไม่แข็งแรง’’ น้ำเสียงของเขาบอกความห่วงใย ‘’ปลายพบพี่ครั้งนี้ จะแข่งกินผักกับพี่’’ ปลายนึกในใจพลางยิ้มให้กับข้าวต้มที่วางอยู่ข้างหน้า รถแล่นลิ่วอีกครั้ง ปลายมองดูเพื่อนร่วมเดินทางข้างๆหลายคนนอนหลับไปแล้ว ปลายคลี่ผ้าห่มคลุมตัวเพราะรู้สึกเย็นขึ้นทุกที ปลายรู้ตัวว่านอนดิ้น ผ้าห่มหลุดบ่อย ไม่มีใครคอยช่วยคลุมให้เพราะปลายโตแล้ว โตเกินกว่าแม่และใครๆ จะสนใจ แต่เขาเขาเอาใจใส่และห่วงใยปลายแม้จะเป็นเพียงเวลาสั้นๆแต่ทุกวินาทีที่ผ่านไปนั้นมีความหมาย ปลายจำได้ในเช้าวันหนึ่งที่เขาห่มผ้าให้ปลายเพราะผ้าห่มคงหลุดกองอยู่ข้างๆ ปลายรู้สึกตัวจึงรีบตื่น ปลายยอมรับว่ายังติดนิสัยนอนตื่นสาย ผิดกับเขาที่ตื่นตั้งแต่เช้าทุกวัน ตื่นขึ้นมาต่อสู้กับชีวิต ทำงานจึงไม่แปลกใจที่มีสาวๆมารุมรักเขา แม้กระทั่งผู้ใหญ่ยังอยากยกลูกสาวให้แต่เขาก็ปฏิเสธเรื่อยมา ‘’พี่ควรแต่งงาน’’ปลายสนับสนุนให้เขามีครอบครัว ‘’ไม่พี่คิดว่าไม่’’  เขามองปลายด้วยท่าทีจะชั่งใจ’’ผมรู้ว่าพี่เหงา พี่ควรจะมีใครอยู่เป็นเพื่อนช่วยทำงานบ้าน พี่จะได้สบายขึ้นบ้าง’’ ปลายตอบจากใจจริง ดีใจที่เขาจะมีครอบครัวอบอุ่น เขาจะต้องจากพรากกกับปลายปลายก็ยินดีและเต็มใจเพียงได้รู้ว่าเขามีความสุขเท่านั้นพอ ปลายล้วงผ้าเช็ดหน้าสีขาวจากกระเป๋าเสือ้ มันเคยขาวอย่างไรเดี๋ยวนี้มันก็ยังขาวอย่างนั้นเพราะปลายไม่เคยนำออกใช้ ทะนุถนอมอย่างดี ปลายเพ่งมองลายสกรีนบนผ้า แต่ก็ไม่เห็นเพราะความมืดสลัวรางแผ่คลุมไปทั่วผ้าผืนนี้เขาให้ปลาย’’ให้ปลายทำไมปลายไม่ชอบผ้าเช็ดหน้าเพราะไม่อยากซับน้ำตา’’ปลายตอบในใจแต่ก็รับไว้ ‘’ชอบหรือปล่าว’’ ‘’ชอบ’’ ปลายมองเหงื่อเม็ดเล็กที่เกาะตามหน้าผากและข้างแก้มของเขาหลังจากทำงานเสร็จ ปลายอยากจะเช็ดให้ แต่ไม่กล้า  รู้ตัวว่าเอาใจคนไม่เก่งมือไม้จึงวางอยู่กับที่ ทั้งๆที่ใจสั่งให้มันขยับไปเช็ด แต่มันก็ทำดื้อกับใจตัวเอง ‘’ชอบใส่เสื้อแบบไหน พี่จะตัดให้’’ ‘’ชอบเสื้อหลวมๆตัวใหญ่ๆ ผมซื้อกับพี่ก็ได้ของซื้อของขาย’’ แต่พี่จะตัดให้’’ ‘’ผมจะซื้อ’’ปลายดื้อ’’ซื้อให้คนอื่นน่ะก็ควรจะเก็บเงิน’’ใครล่ะคนอื่น’’เขาย้อนถาม ปลายยิ้มไม่ตอบอยากยั่วเขาเล่น’’คนอื่นคือใครที่ปลายจะซื้อเสื้อให้’’เขารุกถาม’’คนสนิท’’ อย่างนั้นพี่ไม่ขาย’’แล้วเขาก็ลุกขึ้นมาเขย่าหัวปลายไปมา ป่านนี่เสื้อตัวหลวมที่ปลายอยากได้คงจะตัดเสร็จรอปลายอยู่แล้วกระมัง ปลายรู้สึกตัวอีกครั้งเพราะพนักงานต้อนรับเดินแจกกาแฟ มองผ่านหน้าต่างออกไปเห็นแสงเรืองรองตรงขอบฟ้า ฟ้าอีกฟากยังเป็นสีเทาอยู่เลย เขาสูงยืนตระหง่านอย่างท้าทาย หมอกขาวทอดตัวเป็นสายยาวโยนพาดโค้งเขาลูกนั้นสลับกับลูกโน้น ธรรมชาติต้อนรับอบอุ่น ปลายอยากสัมผัสกับหมอกเป็นสายๆเหล่านั้น และคงไขว่คว้าจับต้องมันมาแล้ว  ….บนดอยสุเทพ เขาพาปลายเที่ยวที่นั่นเมื่อไปถึงในวันแรก ข้างบนอากาศค่อนข้างหนาวสำหรับปลาย ปลายตื่นเต้นที่เห็นหมอกอยู่เบื้องหน้า เพียงแค่เอื้อมปลายก็คว้าถึงมันและรู้สึกถึงความชื่นเย็นเป็นละอองน้ำตามฝ่ามือและแขน’’ตอนเป็นนักศึกษาผมขึ้นบนดอยสุเทพทุกปีเพื่อต้อนรับน้องใหม่ นานแล้วสิที่ผมไม่ได้ขึ้นมานอกจากจะมีเพื่อนมาเที่ยว’’เขายิ้มอย่างเขินๆในวันแรกที่รู้จักกัน’’ผมคุยไม่เก่งนะ’’ผมคุยเก่งแต่ไม่มีสาระ’’ปลายตอบฉะฉานเขาพาปลายไปรับประทานอาหารเที่ยงตรงเชิงดอยแห่งหนึ่ง ต้นไม่ขึ้นเขียวครึ้มร่มรื่น ข้างๆเป็นแอ่งน้ำขนาดใหญ่ ลมเคลื่อนไล่ตามๆกันมาไม่ขาดสาย ใบไม้ไหวระริกพลิกใบตามสายลมราวกับมันโบกมือให้พร้อมๆกันหลายร้อยหลายพันใบจนนับไม่ถ้วน เขาสั่งอาหารด้วยภาษาเหนือ น้ำเสียงเพราะรื่นหูที่ปลายชอบฟังกับเด็กข้างบ้านเขาก็ทักทายเป็นภาษาคำเมือง ปลายต้องมายืนฟังทุกครั้งที่ได้ยิน’’ภาษาเหนือไม่ยากหรอกพูดข้าด้วย’ ‘’’ผมอยากหัดพูด’’ปลายบอก ‘’ ผมจะสอนให้’’เขารับอาสา ‘’จะคิดค่าสอนอย่างไร’’ปลายถามเขายิ้มก่อนที่จะตอบ’’ผมเรียกค่าสอนสูงมากนะ’’เท่าไหร่’ ปลายยิ้มสู้ ‘’มันมีค่ากว่าเงินทอง หัวใจไงล่ะ’’ เขาจ้องมองปลายทั้งยังรอคำตอบ’’หัวใจของปลายไม่เคยขายให้ใครถ้ามอบให้ก็คือให้’’ปลายตอบจริงจัง ‘’ผมจะไม่พาใครมาที่นี้อีก ปลายเป็นคนสุดท้าย’’ใบไม้สายลมและสายน้ำต่างรับรู้วาจาของเขาแล้ว จากวันนั้นจนถึงวันนี้เขาคอยพาใครไปที่นั่นอีกหรือปล่าวหนอ….และในวันที่ปลายจะกลับกรุงเทพปลายเก็บข้าวของลงกระเป๋าเรียบร้อยแล้ว ‘’พี่รักปลาย’’ เขาเดินเข้ามากอดปลายแน่นและจูบปลายไปตามใบหน้า ‘’ผมไม่อยากให้วันนี้มาถึง’’ ‘’ปลายรักพี่ครับ’’ ‘’พี่สัญญาว่าไม่มีอะไรจะเปลี่ยนแปลงความรักที่พี่มีต่อปลาย พี่รักปลาย ขอให้ปลายคิดถึงพี่บ้าง บ้านวังเวงปลายมาถึงแล้วพร้อมกับทักทายมันอย่างคุ้นเคย ปลายตรงไปที่หน้าประตู มองตุ๊กตาไม้ที่ใช้สำหรับเคาะเรียกปลายจับมันเขย่าไปมา เสียงดังต๊อก...ต๊อก...ต๊อก สักครู่มีหญิงสาวเดินออกมาเปิดประตูปลายรู้สึกแปลกใจเหลียวมองดูรอบๆบ้านอีกครั้ง มันเป็นยังเป็นบ้านวังเวงหลังเดิมที่ปลายเคยมาเยือน ปลายมั่นใจว่ามาไม่ผิดบ้านอย่างแน่นอน ‘’มาหาใครเจ้า’’น้ำเสียงอ่อนหวานแบบทางเหนือ ปลายนิ่งไปหัวสมองเริ่มทำงานหนักก่อนที่จะถามว่า’’ที่นี้บ้านใครครับ’’ปลายตอบไม่ตรงคำถาม ‘’บ้านคุณ...เธอเอ่ยชื่อของเขาชัดถ้อยชัดคำ’’คุณเป็นอะไรกับเจ้าของบ้านครับ’’ปลายเสียมารยาทถาม’’เป็นภรรยาค่ะ’’ เขาแต่งงานแล้วปลายบอกกับตัวเองปลายคงฟังไม่ผิดแต่ปลายไม่อยากเชื่อที่เธอพูด จะเป็นไปได้ยังไงเพราะเขาปฏิเสธที่จะมีครอบครัวตลอดมา ถึงจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่ คำพูดของเธอก็ทำให้ปลายหวั่นไหว มันมีอิทธิพลมากถึงเพียงนี้เชียวหรือ ปลายพยายามระงับสติอารมณ์ที่อยู่ลึกๆให้มันสงบนิ่ง ให้มันปั่นป่วนอยู่แต่ภายใน’’คุณมาหาใครคะ’’เธอถามเป็นภาษากลางอีกครั้ง’’ผมคงมาผิดบ้าน ขอโทษครับ’’ ปลายขยับตัวหันหลังก็ได้ยินเสียงรถมอเตอร์ไซด์แล่นเข้ามาในบ้านของเขาเองเขาผอมไปนิด เขาเปลี่ยนไปบ้างเล็กน้อยปลายดีใจที่ได้พบเขาอีกครั้ง เขายิ้มให้ปลายแต่ไม่ใช่รอยยิ้มเหมือนแต่ก่อนปลายไม่ได้ยิ้มตอบเขามองปลายแล้วเลยไปมองภรรยาของเขา ปลายตัดสินใจเดินจากมาทำเหมือนไม่เคยรู้จักกับเขา ปลายมองเขาแวบสุดท้ายนัยน์ตาเขาราวจะขอโทษปลาย แต่ความรู้สึกของปลายนั้นเย็นชาไม่ยอมรับรู้อะไรทั้งสิ้นปลายก้าวจากเขามาแล้วจากนั้นเมื่อวันที่ท้องฟ้าเป็นสีครามสวยสด มันต่างจากหัวใจของปลายในตอนนี้ที่หม่นเศร้ายิ่งนักปลายพยายามกลั้นเสียงสะอื้นไห้ แต่ก็ไม่อาจหยุดน้ำใสๆที่ไหลรินอาบแก้ม หยุดเถอะปลายบอกตัวเองแต่มันก็ไหลรินเป็นทางยาวอย่างไม่ยอมหยุดราวเขื่อนพังทลาย ปลายกระชับกระเป๋าแนบตัวแน่นยิ่งขึ้นมันมองน้ำตาของปลาย ปลายไม่อายมันหรอกเพราะมันเป็นเพื่อนรักที่ซื่อสัตย์ แม้กระทั่งวันนี้ก็ยังมีมันเป็นเพื่อนในยามเหงา ๆและผิดหวังเช่นนี้….ปลายดีใจไม่ใช่หรือที่เขาจะมีใครสักคนเป็นเพื่อนและอยู่อย่างมีความสุขเหมือนที่ปลายเคยสนับสนุนแต่หัวใจของปลายนั้นเจ็บปวดลึกๆเป็นที่สุด

 ’’ดอกรักบานดอกหนึ่ง

ในวันซึ้งซึ้งวันก่อนเก่า

คือความเหงาเหงา

 และเศร้าเศร้าในวันนี้’’

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น