วันจันทร์ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2557

พี่ต้นยังไม่ตาย [เรื่องสั้น]


ท่ามกลางแสงแดดอันร้อนระอุ เราต้องรีบเดินฝ่าลมร้อน และแสงแดดตอนบ่ายเพื่อไปให้ถึงจุดหมายปลายทางเบื้องหน้า ตัวตึกสีไข่ไก่ตั้งตระหง่านดูโดดเด่นท่ามกลางแมกไม้สีเขียวและดอกสีแสดของทองกวาว สถานที่แห่งคือห้องสมุดที่วิทยาลัยครูใช้เป็นที่ค้นคว้าของนักศึกษา โธ่ เราไม่น่าจะลืมรายงานชิ้นนี้เลยอาจารย์ก็แสนจะโหด งานก็เยอะยังแถมให้อีกชิ้น หนังสืออ้างอิงบ้าบออะไรกัน ตั้ง 6 เล่ม เฮ้อคิดแล้วกลุ้ม เราบ่นเข้าข้างตัวเองอย่างหงุดหงิด ทั้งที่รายงานชิ้นนี้อาจารจ์ให้เวลาตั้ง 2 สัปดาห์ ค่อยยังชั่วหน่อยที่ได้ไอเย็นในตัวอาคารเราเดินหาหนังสือที่ต้องการได้ 6-7 เล่ม จึงรวบรวมมานั่งอ่าน และบันทึกหัวข้อที่ต้องการไว้ ที่เหลือค่อยเอาไปค้นคว้าต่อที่หอพักก็แล้วกัน เวลาผ่านไปนานเท่าใดไม่รู้ได้ เพราะเรามัวเพลินไป ต้องมาสะดุ้งตกใจเมื่อได้ยินเสียงห้าวๆ เอ่ย ขึ้นทางเบื้องหลัง ‘’ ขอโทษครับ ได้เวลาปิดห้องสมุดแล้วครับ ‘’ เราหันไปมองที่มาของเสียง ก็พบนักศึกษาหนุ่มที่แต่งกายสะอาดเรียบร้อย หน้าตาเข้าขั้นหล่อโดยเฉพาะดวงตาดูมีแววฏาซึ่งชวนมอง ‘’ต๊าย ลืมเวลาจริงๆเลย’’ เรามองไปรอบๆ ห้องโถงไม่เจอหน้าใคร เลยดูเงียบเชียบ คงมีแต่เราเพียงสองคนยกเว้นและเจ้าหน้าที่อีก2 คนเท่านั้น ที่เหลือยู่ ‘’ค้นคว้ารายงานเหรอครับ ‘’ เจ้าของดวงตาโศกซึ้งถามต่อ ‘’ครับ รายงานภาษาไทย สำคัญมากเลยและต้องส่งวันพรุ่งนี้ด้วย ‘’ เราตอบ เขาเดินเข้ามาพลิกดูรายชื่อหนังสือที่เรากำลังอ่านแล้วพูดขึ้น ‘’ให้ผมช่วยไหมครับ’’ ‘’ผมคงไม่กล้ารบกวนหรอกครับ ‘’ เราออกตั้งทั้งๆที่อยากตอบรับแทบใจจะขาด ‘’ไม่เป็นการรบกวนอะไรเลย ระยะนี้ผมกำลังว่างและอีกย่างเรื่องนี้ผมเคยทำส่งอาจารย์มาแล้ว ตอนอยู่ที่ปี 3 ‘’ เขาเว้นระยะนิดหนึ่ง ‘’ ตกลงนะครับขอค่าตอบแทนเป็นอาหารมื้อเย็นมื้อเดียว’’ เขาตัดบทการสนทนาโดยการหอบหนังสือไปที่โต๊ะของเจ้าหน้าที่เพื่อติดต่อขอยืมหนังสือ เราตามมาและยื่นบัตรสมาชิกให้ ‘’ชื่อรัฐ’’ คนตาโศกพึมพำพอได้ยิน เมื่อได้หนังสือครบตามต้องการแล้วเราก็เดินออกมาจากตัวอาคารเพื่อกลับที่พัก โดยไม่ลืมที่จะกล่าวขอบคุณในความเอื้อเฟื้อของเขา ‘’คุณพักที่ไหนครับ ‘’ คนตาโศก ถามาจากเบื้องหลัง ‘’หอพักธารา ครับ’’ เราบอกชื่อหอพักเอกชนที่อยู่หน้าวิทยาลัยครูให้เขาทราบ ‘’แล้วคุณหละครับ ไม่เห็นบอกเลยว่าพักที่ไหน ‘’ เราก็อยากรู้เหมือนกันนี่นา ‘’ เรียกผมว่าต้นก็ดไครรับ ผมพักอยู่ที่….’’ เขาบอกชื่อเขาพร้อมชื่อหอพักซึ่งเป็นของวิทยาลัย’’เจอกันตอนห้าโมงเย็นนะครับ ผมจะไปช่วยทำรายงาน ‘’ ต้นพูดประโยคสุดท้าย ก่อนที่เราจะแยกกันกลับ เราเดินผ่านต้นทองกวาวด้วยอารมณ์สดชื่นแจ่มใส วันนี้อากาศช่างร่มรื่นเย็นสบายจังเลย หัวใจเราแสนจะเบิกบาน ทองกวาวไหวกิ่งตามแรงลมเหมือนจะรับรู้ถึงความรู้สึกในหัวใจเรา ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา เราต่างก็เป็นเงาซึ่งกันและกันเพราะเรามีอะไรคล้ายๆ กันเช่นชอบธรรมชาติ วาดรูปแม้กระทั่งอาหารการกิน เราเจอกันทุกวันในเวลาร่วมกิจกรรมเวลาว่างไม่มีชั่วโมงเรียน หรือว่าเวลากลางวันต้นเป็นคนพูดน้อยไม่ค่อยสุงสิงกับใครมากนักเขาเรียนปี 4 วิชาเอกภาษาอังกฤษ วิชาโท ภาษาไทย ส่วนเราเรียนอยู่ ปี 3 วิชาเอกภาษาไทย วิชาโทนาฏศิลป์ หลังทานอาหารกลางวันเสร็จเราชอบมานั่งพักใต้ต้นทองกวาวที่กำลังบานสะพรั่ง ‘’เมื่อวานผมไปแอบดูพวกโทนาฏศิลป์ สอบการละครนะ แหม ..พระเอกในเรื่องเป็นนักรบที่องอาจ แต่ทว่าเสสียงเขาหายไปเฉย อย่าแสแสร้ง ‘’ว่าอะไร บอกมาดีๆ นะไม่อย่างนั้นคอยดู’’ เราแซงขึ้นด้วยเสียงเอาเรื่อง ‘’ตาของพระเอกนะสิ หวานเยิ้มเชียวเหมือนคนสูบกัญชา’’ ‘’บ้า อิจฉาใช่ไหมหละเห็นเขาเด่นกว่านะสิ’’ เราเชิดหน้าตอบ ‘’คนอื่น หล่อๆ ถมไป ทำไมอาจารญ์ไม่เลือกสงสัยว่าคงติดสินบนอาจารย์หรือไม่ก็ติดสินบนสมาชิกในกลุ่มละสิ’’ ‘’ เชอะ…’’ เราเชิดหน้าอย่างแสนงอน’’ คนอื่นดีกว่าก็ไปหาคนอื่นสิ’’ ‘’ หึหึ….นี่หรือนักรบที่องอาจใจน้อยจริงหัวก็ไม่ล้านสักหน่อย’’ ‘’ นี่ แซวดีนัก ‘’ เราพูดพร้อมกับหอบดอกทองกวาวที่หล่นเกลื่อนพื้นขว้างใส่เขาพร้อมกับวิ่งหนีไปตึกเรียน….’’คืนนี้ผมไม่กลับหอนะจะขอค้างที่นี่’’ เขาบอก หลังจากเราไปเที่ยวงานวัดที่อยู่ใกล้วิทยาลัยกันมา’’เหนื่อย ขี้เกียจเดินด้วย’’ เราเหลือบดูนาฬิกาข้อมือเห็นเป็นเวลาดึกแล้ว จึงตกลงทั้งๆที่ใจสั่นระริก เป็นครั้งแรกที่เขามาค้างด้วย ตั้งแต่เรารู้จักกันมา ‘’รัฐ ง่วงรึยัง อาบน้ำเสร็จผมไม่รู้สึกง่วงเลย’’ เสียงต้นซึ่งนอนอยู่ใกล้ๆ พูดขึ้นในความมืด ไม่หรอก ตาชักแข็งไม่ง่วงเหมือนกัน ‘’ เราตอบ ‘’รัฐรู้ไหมว่าทำไมผมสนใจรัฐต้นถามขึ้น ‘’เพราะรัฐท่าทางเด๋อด๋ามั้ง’’ เราแกล้งตอบ ‘’ไม่หรอก ‘’ ต้น แยง ‘’เพราะรัฐมีหน้าตาคล้ายน้องผม…’’ ‘’เรามีด้วยกัน 4 ชีวิต คุณพ่อเป็นปลัดอำเภออาวุโสคุณแม่และน้องเต้ เราอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข แต่แล้วทุกคนก็จากผมไปหมด’’ เสียงเล่าเริ่มเบาลง และสั่นเครือ ทำให้เรารู้สึกไปด้วย ‘’วันหนึ่งทางอำเภอจัดอำเภอเคลื่อนที่เพื่อออกบริการประชาชนที่อยู่ห่างไกล คุณพ่อก็ต้องออกไปควบคุมการทำงานด้วย คุณแม่และน้องเห็นว่าเป็นวันหยุดราชการอยู่ว่างๆจึงขอไปด้วยแต่…’’ เสียงเขาฟังดูเศร้าสร้อย’’แต่แล้ว รถเกิดพลิกตกสะพานทั้ง 3 คนเสียชีวิตในรถหมด…’’ เสียงเขาเครือเศร้า ด้วยความสงสารเราจึงโอบร่างเขาไว้และซึกหน้าลงกับอกอันเปลือยเปล่าของเขาต้นกอดกระชับเราไว้ในอ้อมแขน มือลูบไล้แผ่นหลังเราอย่างแผ่วเบา ‘’ผมรักรัฐมาก และไม่เคยคิดว่าจะให้ความรักเช่นนี้กับใครได้อีกแล้ว เขากระซิบที่ริมหู ‘’รัฐล่ะ รักผมบ้างไหม’’ ‘’โธ่ ไม่น่าถามเลย ถ้าไม่รักรัฐจะยอมให้ทำอย่างนี้เหรอ’’ เรากระซิบตอบ ‘’อุตส่าห์ปกปิดมาตั้งนาน เกรงว่าต้นจะรู้และรังเกียจ’’ มือแสนซุกซนของเขาดึงกางเกงนอนของเราออก เหลือเพียงร่างเปลือยเปล่า ปากจมูกของเขาทำงานโดยไม่มีช่องว่างทั้งจูบทั้งไซร้ตามซอกคอ ติ่งหู เขาพรมจูบไปทั่วใบหน้าและมาหยุดนิ่งนานที่ริมฝีปากเสียงครางกระเส่าของต้นดังขึ้นอย่างมีความสุข ‘’ในชีวิตผมไม่มีใครอีกแล้ว เหลือเพียงรัฐคนเดียว พอผมจบผมจะไปสอบบรรจุแถวๆ ใกล้บ้านรัฐ ปิดเทมอหรือวันหยุดผมก็จะมาเยี่ยมหรือมารับรัฐไปอยู่ด้วยนะ เราตอบรับด้วยการจูบเขาอย่างดูดดื่ม’’พอรัฐจบ ต้องไปสอบบรรจุจังหวัดเดียวกันนะครับ และต้องเลือกโรงเรียนที่ผมอยู่หรือใกล้เคียง ผมจะพาไปเลือกเอง เขากระซิบต่อแต่มืออันแสนซนก็ยังรุกเร้าไม่หยุด ความรู้สึกของเราไม่อยู่กับเนื้อตัวเลยคล้ายๆ ฝันไปกับความเบาโหวง ต้นจูบเรื่อยมาตามหน้าอก เมื่อเจอติ่งหัวนม เขาก็ไซ้ลิ้นดูดพร้อมกับฟันขบกัดเบาๆ เราคราญครางอย่างเป็นสุขความเสียวสะท้านทำให้เราแอ่นตัวขึ้นรับด้วยความเผลอไผล จากประสบการณ์ที่เคยผ่านมาเราผลัดกันรุก ผลัดกันรับด้วยปากจนสุขสมไปพร้อมกันเรานอนก่ายกอดกันจนหลับไปด้วยความเพลีย ท่ามกลางไอเย็นของฝนหลง ดูซึ่งตกกระหน่ำลงมาอย่างหนัก…’’ต้น 3 ทุ่มอย่าลืมไปรับที่โรงยิม นะ’’ เราสั่งเสียก่อนจากกันเพราะคืนนี้วิชาเอกพลศึกษาจัดสันทนาการและอาจารย์เลือกเราและเพื่อนอีก 3 คนไปรำชุด’’ ลาวดวงเดือน’’ ในงานมีดนตรี และมีการทดสอบกิจกรรมเข้าจังหวะด้วย เมื่อรำเสร็จพวกเรารีบเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวคืนอาจารย์ที่ควบคุมมาพี่แจ็คประธานของวิชาเอกพละได้เข้ามาช่วย เปลี่ยนและเก็บของพี่แจ็คเป็นนักบอลของวิทยาลัยรูปร่างสูงใหญ่ ท่าทางเก๋และคล่องแคล่ว ‘’พี่แจ็คครับ ผมต้องขอตัวกลับหอเลยนะครับ ‘’ ‘’จะกลับกับใครล่ะ เดี๋ยวพี่จะยืมรถเครื่องเพื่อนไปส่ง’’  ‘’ ผมนัดเพื่อนมารับแล้วครับ ขอบคุณมาก’’ เรายกมือไหว้ลาอาจารย์ผู้ควบคุมว ไหว้พี่แจ็คและสั่งเสียเพื่อนๆ พร้อมกับถือกระเป๋าของใช้ส่วนตัวเดินออกมาจากโรงยิม ‘’ขอบใจมากนะรัฐ’’ พี่แจ็คตะโกน ตามมา หน้าโรงยิมมืดมืดไม่เห็นมีใครอยู่เลยสักคน เอ๊ะ เขาเป็นอะไรนะ หอพักก็อยู่ใกล้แค่นี้เอง ‘’ทำไมไม่อยู่ต่อล่ะ ‘’ เสียงดังขึ้นข้างหลังทำให้เราสะดุ้ง ‘’โธ่ รอตั้งนาน ทำไมมาเงียบๆ ล่ะรัฐตกใจหมด’’ เราบอก ‘’เงียบสิ เพราะผมไม่มีเครื่องรถเครื่องไปส่งนี่’’ เขารวนกลับมา ‘’เอ๊ะอะไรกันพูดไม่เข้าเรื่องเลย’’ เราฉุนจึงเดินหนี’’รัฐผมขอโทษ ผมหงุดหงิดไปหน่อย ผมเข้าไปเห็นรัฐยิ้มระรื่นกับแจ็คอยู่ ผมทนไม่ได้ ‘’ เสียงออดอ้อนดังตามข้างหลัง’’ นี่ถ้าผมจบแล้ว รัฐจะหาคนอื่นมาแทนที่ผมไหม ‘’ เขาถามด้วยเสียงเบาๆ  เราแกลังเดินเฉย ทำทีไม่ได้ยิน เดินกันมาอย่างเงียบๆ จนกระทั่งถึงหอพัก ‘’รัฐคืนนี้ผมต้องกลับไปค้างที่หอนะ เพราะต้องเตรียมเอกสารเก็บข้อมูลภาคสนามเรื่องภาษาถิ่นพรุ่งนี้ ไว้เจอกันตอนเช้านะรัฐ ‘’ เขากอดและจูบเราอย่างอ้อยอิ่งก่อนจากกันในคืนนั้น เช้านี้อากาศขมุกขมัว ทองกวาวสลัดกลับทิ้งเกลื่อนกลาดเต็มพื้นหญ้าคงเหลือไว้เพียงต้นที่ยืนสล้างแผ่กิ่งก้านอันไร้ใบดูเหงาหงอยเศร้าสร้อยคล้ายคนสิ้นหวัง ต้นคอยเราใต้ต้นเสลาที่กำลังผลิดอกสีม่วงไสว ท่าทางเขาเหงาหงอย ‘’ไปทานข้าวกันเถอะ ‘’ เราชวนเขาไปทานข้าวที่โรงอาหารวิทยาลัย ‘’ ไม่หิวเลย แต่เอาเถอะผมจะนั่งเป็นเพื่อน’’ ตลอดเวลาที่นั่งรับประทานอาหาร เราสังเกตเขากระสับกระส่ายอึดอัดชอบกล ‘’ เป็นอะไรล่ะ วันนี้ดูชอบกลจังเราทนไม่ได้จึงถามขึ้น ‘’ รัฐ’’ เขาเรียกเหมือนไม่มั่นใจนัก ‘’ มีเงินเหลือไหม ธนานัติผมยังไม่มาเลยขอยืมก่อนสักร้อยนะ พอธนาณัติมาจะใช้คืน’’ เขาหลุดปากออกมาอย่างยากเย็น เขาคงจะไม่มีจริงๆ เพราะตั้งแต่รู้จักกันมาไม่เคยเห็นเขารบกวนเรื่องเงินทองเลย ‘’ มีร้อยเดียว ‘’ เราตอบทั้งๆที่เรามีมากกว่านั้น ‘’ ต้นเอาไป 50 บาทพอไหม’’  ‘’ ก็ยังดีกว่าไม่มี แล้วผมจะใช้คืนนะ หน้าตาเขาดูดีขึ้น ‘’สัก 5 โมงเย็นผมก็กลับค่อยเจอกันใหม่นะรัฐ ‘’ เขาขอตัวแยกไปหาเพื่อนที่จับกลุ่มกันคอยรถวิทยาลัยอยู่ เรามองตามจนร่างเขาหายเข้าไปในกลุ่มเพื่อนๆ ‘’นี่ เราใจดำกับเขาหรือเปล่านะ เผื่อเขามีความจำเป็นต้องใช้เงินเพราะต้องไปเขตอำเภอชายแดนด้วยเราน่าให้เขาตามที่เขาต้องการ’’ เราคิดตำหนิตัวเราเอง แต่ก็แก้ไขอะไรไม่ได้ เพราะได้เวลาเข้าเรียนแล้ว…. วันนี้เป็นวันสุดท้ายของการเรียนทางวิทยาลัยประกาศให้หยุดพักเพื่อเตรียมตัวสอบ 5 วัน นักศึกษาทุกคนต่างก็ซุ่มดูหนังสือกันไม่ได้ยินเสียงเย้าแหย่สนุกสนานดังผ่านมา วันนี้ ตอนเย็นต้องเลี้ยงแก้ตัวกับเขาสักหน่อย ทำกับข้าวพิเศษ สัก 2 – 3 อย่าง ชนิดที่เขาชอบเราครุ่นคิดขณะเดินกลับหอพัก เสร็จภารกิจต่างๆ แล้วก็หยิบหนังสือเดินมานั่งอ่านที่ระเบียงห้องพักเพื่อรอเขา ‘’เวลาผมไปรับพระราชทานปริญญาบัตร รัฐต้องไปกับผมนะ ผมจะแนะนำให้รู้จักกับน้าคนที่ส่งผมเรียนจนสำเร็จ’’ เสียงเขาแว่วเข้ามาในจิตสำนึก ‘’ผมห้ามนะ ไม่ให้ใครมานอนแทนที่ผมโดยเด็ดขาด’’ เสียงกระซิบที่ริมหูในคืนหนึ่งที่เราอยู่ด้วยกัน เราดูนาฬิกาด้วยความกระวนกระวายใจฟ้าเริ่มมืดหม่นเพราะหมดแสงของตะวันความมืดกำลังจะโรยตัวเข้ามาแทนที่ จะหกโมงแล้วยังไม่มาอีกกับข้าวก็เย็นชืดหมดแล้ว’’รัฐรัฐ..เปิดประตูเร็ว’’เสียงของเปี๊ยกเพื่อนร่วมหอดังขึ้นพร้อมกับเสียงตบประตูดังโครมคราม’’อะไรกันเปี๊ยก โวยวายยังกะไฟไหม้’’เราต่อว่าทันทีที่เปิดประตูออกมา ‘’เอ๊ะดูเปี๊ยกปากคอสั่นเป็นอะไร หน้าซีดเชียว ‘’ เราสังหรณ์ใจว่าคงมีเรื่องร้ายอะไรสักอย่างเกิดขึ้น ‘’ทำใจดีๆ ไว้รัฐ ‘’ เปียกพูดเสียงตะกุกตะกัก บอกเราเร็วเข้า’’ เราละล่ำละลักถามด้วยความตกใจ ‘’พวกพี่ปี 4 ที่ออกเก็บข้อมูลภาคสนาม ขากลับรถประสานงากับรถบรรทุกพี่ต้นตายคาที่’’ ไม่จริง ต้นไม่ตาย’’ เราตะโกน ขึ้นสุดเสียง ‘’เป็นไปไม่ได้ เราไม่เชื่อต้นต้องไม่ตาย ‘’ เราคร่ำครวญอยู่ในอก ‘’พี่ต้นไปสบายแล้ว รัฐต้องทำใจให้เข้มแข็งไว้เราเข้าใจและเห็นใจ เสียงของเปี๊ยกเหมือนแว่วมาจากแดนไกลแสนไกล ดูอ้างว้าง วังเวง ในที่สุดจิตใจของเราก็มืดมิด ไม่ยอมรับรู้สรรพสำเนียงใดๆ อีกเลย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น