วันอังคารที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

เรื่องเล่าคาวน้ำกาม 11

วันแรกของการเปิดภาคเรียนที่ 1 ประจำปีการศึกษา 2539
ผมอยู่ปี3 แล้ว เวลาช่างผ่านไปรวดเร็วเหลือเกิน ยังจำได้ดีถึงวันแรกที่เข้ามาเป็นนักศึกษาใหม่ ความรู้สึกนั้นเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่นานนี่เอง
ผมยังคงพักอยู่ที่เดิม ส่วนบอลก็ยังคงพักอยู่ห้องข้างๆผม ในเทอมนี้เอง น้องชายของบอล ซึ่งสอบติดมหาลัยเดียวกัน ได้เข้ามาพักอยู่ห้องเดียวกับบอล
ตอนนี้ความสัมพันธ์ของผมกับบอลเริ่มแน่นแฟ้นมากขึ้นกว่าเมื่อก่อนนัก (เกือบทุกคืนบอลต้องมาส่งส่วยความเสียวให้ผมเป็นประจำ)
ส่วนป้อง ผมไม่ได้เห็นเขาอีกเลยหลังจากครั้งนั้น(ซึ่งก็นานมาก) ดีเหมือนกันจะได้ลืมหน้าคนใจร้ายใจดำเร็วขึ้น
ช่วง 2-3 อาทิตย์แรกของการเปิดเทอม คงจะไม่มีกิจกรรมไหนที่สำคัญและโดดเด่นมากไปกว่า "การรับน้องใหม่" สำหรับผมแล้ว ไม่ได้มีบทบาทโดดเด่นอะไรมากกับกิจกรรมนี้ เพราะอยู่ชั้นปี3 แล้ว ซึ่งกิจกรรมนี้ผู้ที่มีบทบาทส่วนใหญ่มักจะเป็นนักศึกษาชั้นปี2 มากกว่า
แน่นอนว่าช่วงนี้ ผมกับบอลไม่ค่อยได้มีเวลาเจอกันเท่าไหร่ เพราะบอลมัวแต่ยุ่งอยู่กับการรับน้องใหม่ของคณะ (ได้ข่าวมาว่า บอลเป็นหนึ่งในหัวหน้าว๊ากของคณะ ผมอยากจะขำกลิ้งจริงๆ หน้าอ่อนๆใสๆอย่างบอล เวลาว๊าก ใครเขาจะกลัว ขนาดมาว๊ากมาบ่นใส่ผมๆยังไม่กลัวเลย)
เย็นวันหนึ่ง หลังจากจอดรถที่ลานจอดเรียบร้อยแล้ว ขณะที่ผมกำลังเดินขึ้นบันไดทางเดิน เพื่อไปยังห้องพัก
"
พักอยู่ที่นี่หรือ? ไม่เจอกันนาน จำเราได้ไหม?" ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ระเบียงทางเดินกล่าวทักทายผม ผมเห็นหน้าของเขาไม่ชัด ตรงระเบียงทางเดิน ค่อนข้างมืด เนื่องจากแสงของหลอดไฟสาดส่องไม่ทั่วถึง
ผมเดินเข้าไปใกล้ชายหนุ่มเจ้าของเสียง เพื่อที่จะดูหน้าตาให้ชัดว่าเป็นใครกันแน่
"
อ๋อนายนั่นเอง เดี๋ยวอย่าเพิ่งบอกชื่อ ขอเวลาเรานึกชื่อนายแป๊บหนึ่ง" ผมจำหน้าชายหนุ่มคนนั้นได้ แต่นึกชื่อไม่ออก มันติดอยู่ตรงมุมปาก
ชายหนุ่มหัวเราะอย่างอารมณ์ดี
"
เสือ ใช่ไหม?" ในที่สุดผมก็จำชื่อของเขาได้ (ยังจำเสือได้ไหมครับคุณผู้อ่าน? จากตอนก่อนหน้านู้น)
"
เก่งมาก เก่งแบบนี้น่าจะให้รางวัลซักหน่อย" เสือปรบมือให้ผม
"
รางวัลอย่างเช่นพาไปเลี้ยงข้าว เลี้ยงหนัง ใช่ไหม? ยินดีเสมอและว่างทุกเวลา" ผมพูดรับมุข
"
เราคงถังแตกแน่ กันต์กินจุไหม?" เสือยังเล่นมุขไม่ยอมเลิก
"
กินไม่จุ กลัวอ้วน แต่อย่างอื่นกินจุชนิดที่ไม่มีอิ่ม ว่าแต่นายมาทำอะไรอยู่ที่นี่? พักอยู่ที่นี่หรือ?" ผมถามอย่างสงสัย
"
ตอนนี้เราย้ายไปอยู่หอที่ฝั่งสวนดอกแล้ว เรามาหาเพื่อนที่เคยเรียนโรงเรียนเดียวกัน มันพักอยู่ห้องมุมสุดนี่เอง กันต์พักอยู่ที่นี่หรือ?" เสือบอกถึงจุดประสงค์ของการมาที่นี่
"
ใช่.. ห้องเราอยู่ฝั่งปีกขวา นายจะกลับแล้วหรือ?" ผมถามฝ่ายตรงข้าม
"
คงงั้น เจอนายได้จังหวะพอดี เรามาแต่ตัวไม่ได้หยิบจับอะไรมาเลย ว่าจะลงไปขอยืมปากกากับเศษกระดาษจากลุงยามข้างล่างซะหน่อย นายพอมีปากกากับเศษกระดาษให้เรายืมบ้างไหม? เราจะเขียนโน๊ตทิ้งไว้ให้เพื่อนเรา" เสือยิ้มอย่างมีความหวัง
"
ไม่ต้องห่วง เราว่าเข้าไปคุยกันในห้องเราก่อนไหม? รีบไปไหนหรือเปล่า?" ผมเชิญชวนเสือ (เผื่อฟลุ๊ค เข้าใจวางแผนจริงๆ ช่วงนี้บอลไม่ค่อยได้มาส่งส่วย เพราะยุ่งกับการรับน้องใหม่ ผมเลยอดอยากมากกว่าปรกติ ผมยอมรับอย่างเต็มอกว่า ตัวเองเป็นคนที่มีความต้องการสูงมากถึงมากที่สุด เมื่อเงี่ยนเกินพิกัดแบบนี้ ต้องหาทางเอาน้ำกำหนัดออกให้เร็วที่สุดเท่าที่มีโอกาส)
"
ไม่รีบ ดีเหมือนกัน ไม่ได้เจอกันนาน อยากจะทำความรู้จักกันต์ให้มากกว่านี้" เสือรับคำเชิญ พร้อมเดินตามผมเข้าไปในห้อง
"
กันต์อยู่คนเดียวใช่ไหม?" เสือกวาดสายตาไปรอบห้อง
"
ใช่" ผมตอบสั้นๆ
"
แล้วน้องรหัสสุดเฮี๊ยบตอนนี้เป็นไงบ้าง เรายังจำได้ ตอนนั้นน้องเขาไม่ค่อยพอใจที่เราเข้ามาคุยกับกันต์ คงกลัวเราจะเข้ามาจีบพี่รหัส" เสือพูดทบทวนความหลัง
"
น้องก้องนะเหรอ ตอนนี้คงกำลังว๊ากน้องปี1 อยู่มั้ง เห็นได้รับเลือกเป็นหัวหน้าว๊ากของรุ่นด้วย เสือความจำดีเยี่ยมจริงๆ" ผมชมฝ่ายตรงข้าม
"
อะไรที่เกี่ยวกับกันต์ เราจำได้เสมอ" เสือหยอดคำหวาน
"
ดูพูดเข้า ปากหวานแบบนี้คงจะมีคนรักคนชอบสนั่นเมืองซินะ เราขอตัวเปลี่ยนเสื้อแป๊บหนึ่ง จะได้สบายตัว" ผมค่อยถอดเสื้อนักศึกษาออกอย่างช้าๆ เพื่อเปลี่ยนเป็นเสื้อยืด (อ่อยแบบมีชั้นเชิงสุดฤทธิ์)
"
กันต์ผิวเนียนจัง" เสือมองดูผมเปลี่ยนเสื้อ จากนั้นจึงใช้มือลูบหน้าท้องผมอย่างเบาๆ
เวลานี้ผมรู้สึกเสียววาบๆเล็กน้อย จนเป้ากางเกงค่อยๆพองโตทีละนิด
"
เปลี่ยนแต่เสื้ออย่างเดียว ไม่เปลี่ยนกางเกงด้วยหรือ?" เสือเริ่มแซวผม สายตาของเสือจ้องมองที่เป้ากางเกงผมอย่างใจจดใจจ่อ
"
ไม่หรอก เรายังไม่ได้กินข้าวเลย เราชอบใส่ยีนส์เวลาออกไปกินข้าวข้างนอก ยุงจะได้ไม่กัด นายกินข้าวหรือยัง? ถ้ายัง เดี๋ยวออกไปกินด้วยกันไหม?"
"
ได้เลย แต่ตอนนี้เราอยากกินอย่างอื่นมากกว่า" เสือพูดกำกวม
"
นายอยากกินอะไรละ?" ผมเล่นลิ้นยั่วยวนเพื่อเพิ่มความอยากให้ฝ่ายตรงข้าม โดยการใช้มือเกาตรงเป้ากางเกงของตัวเอง เป็นพักๆ (ขอยืมไอเดียของเต้ยมาใช้)
"
อยากกินใส้กรอกในกางเกงยีนส์" เสือแสดงความประสงค์ของตน
"
ร้านไหนหรือ? เราไม่เคยได้ยินมาก่อน?" ผมแกล้งทำเป็นโง่ ไม่รู้เรื่อง
"
ถ้าอยากรู้ หลับตาก่อนซิ เดี๋ยวเราจะพาไป" เสือเริ่มเปิดเกมส์
ผมหลับตาพริ้ม ทันใดนั้นหัวเข็มขัดและหัวกระดุมกางเกงยีนส์ที่ผมสวมใส่อยู่ ก็ถูกปลด พร้อมทั้งซิปถูกรูดออกมา เสือใช้มือทั้งสองจับขอบกางเกงยีนส์และขอบกางเกงในของผม ติดกันแน่น จากนั้นก็ถลกกางเกงยีนส์พร้อมกับกางเกงในของผม ลงไปกองกับพื้น
"
โอ้โหลำกล้องของกันต์ทั้งสวยทั้งใหญ่ น่าลิ้มลอง ขนยังดกดำอีกต่างหาก" เสือรำพึงรำพันออกมา
"
ถึงคราวที่เราจะยลโฉมมังกรของนายบ้างแล้วนะ" ผมจัดการถอดกางเกงและกางเกงในของเสือออกจนหมด
มังกรของเสือขนาดกลางๆ ไม่ใหญ่และไม่เล็ก หัวปิด ลูกชิ้นเอ็นทั้ง 2 ลูก ห้อยโทงเทงเล็กน้อย และมีขนขึ้นเบาบางที่หัวหน่าว ผมใช้มือเล่นกับอวัยวะเพศของเสืออย่างสนุกสนาน จนแข็งโด่อย่างทันควัน
"
ไม่ต้องอมให้เราก็ได้ เรากลัวมีกลิ่น เช้านี้ตื่นสาย กลัวไปเรียนไม่ทันเลยไม่ได้อาบน้ำ" เสือกระซิบข้างหูผมอย่างอายๆ โดยใช้มือจับหน้าผมไว้ ก่อนที่ผมจะจัดการลิ้มรสกระจู๋หวาน
เสือใช้มือถอกหนังหุ้มอวัยวะเพศของผมเล่น จนหัวเปิดออกมาสัมผัสโลกภายนอก ส่วนมืออีกข้างเคล้าคลึงลูกชิ้นเอ็นทั้ง 2 ลูกของผม
"
อูยส์... อูยส์... ดีมาก ค่อยๆ" ผมร้องครวญครางด้วยความเสียว
พอเคล้าคลึงลูกชิ้นเอ็นของผมจนหนำใจแล้ว เสือก้มหน้าเข้าหามังกรของผม พร้อมทั้งอ้าปากอมมังกรของผมจนมิดลำ จากนั้นจึงค่อยใช้ริมฝีปากรูดมังกรของผมอย่างเป็นจังหวะ
ผมครางออกมาด้วยความเสียวพร้อมทั้งใช้มือจับขมับทั้งสองข้างของเสือโยกเข้าๆออกๆตามจังหวะ
"
เราเอานายได้ไหม?" ผมกระซิบข้างหูเสือ
เสือพยักหน้า ผมเอื้อมมือไปหยิบเจลหล่อลื่น พร้อมทั้งชะโลมไปทั่วแท่งตอปิโดของผม
เมื่อตอปิโดพร้อมรบ ผมก็บีบเจลใส่ปลายนิ้วมือ และทาตรงปากทางเข้าถ้ำทองของเสือ
ผมค่อยๆดันแท่งตอปิโดเข้าปากถ้ำทองของเสืออย่างช้าๆ เพราะกลัวว่าฝ่ายตรงข้ามจะเจ็บ
"
ไม่ต้องเกร็ง ค่อยๆหายใจเข้าออกช้าๆ" ผมแนะนำเสือ
เมื่อเสียบแท่งตอปิโดเข้ารูดากของเสือจนมิดด้าม ผมก็ปฏิบัติการโยกเข้าๆออกๆตามสปีด
เวลานี้เสือเริ่มครางอย่างเคลิ้มๆ ซึ่งก่อนหน้านี้ทำท่าว่าจะร้องจ๊ากด้วยความเจ็บปวด
ฝ่ายตรงข้ามเสียวซะขนาดนี้ ผมคงต้องเร่งเครื่องสมนาคุณแบบจัดเต็ม โดยการกระเด้าซอยอย่างรัวๆถี่ๆ ยิ่งเสือโยกตูดรับกับจังหวะของกระดอผมด้วย ทำให้ผมเสียวตรงบริเวณหัวกระดอเป็นอย่างยิ่ง
ไม่ถึงนาทีผมร้องเสียงหลง พร้อมกับหลั่งน้ำอสุจิออกมาในรูดากของฝ่ายตรงข้าม
ผมใช้มือชักว่าวและเคล้าคลึงลูกชิ้นเอ็นของเสือ จนน้ำอสุจิของเสือพุ่งออกจากกระบอกปืน
ตั้งแต่วันนั้น ผมได้มีโอกาสเจอเสืออีกประมาณ 2-3 ครั้ง คณะที่เสือเรียนอยู่นั้น ค่อนข้างจะเรียนหนัก และหอพักของเสืออยู่ห่างจากผมพอสมควร (ผมอยู่หลังมอ ฝั่งสวนสัตว์ ส่วนเสืออยู่ฝั่งสวนดอก) ด้วยเหตุผลที่กล่าวมาข้างต้น ทำให้โอกาส+เวลาที่เราจะได้เจอกันไม่ลงตัว + ต่างฝ่ายมัวแต่ยุ่งกับภาระกิจของตนเอง เลยต้องห่างเหินกันโดยปริยาย
……………………………………………………………………………………………………………
หลังจากเสร็จสิ้นเทศกาลรับน้องใหม่แล้ว ผมมีโอกาสได้เจอบอลบ่อยขึ้น แต่ก็ยังไม่บ่อยเท่ากับปีที่แล้ว เพราะบอลต้องดูแลและเป็นธุระต่างๆให้กับน้องชายที่เพิ่งเข้ามาเป็นนักศึกษา ใหม่ อีกทั้งช่วงที่เราทั้งสองว่างพร้อมๆกัน ดันมาเป็นช่วงเทศกาสอบกลางภาคอีกด้วย ซึ่งแน่นอนว่าต่างฝ่ายต่างก็ต้องเตรียมตัวอ่านหนังสือสอบ(เซ็งเป็ดจริงๆตรู)
พอสอบกลางภาคเรียบร้อยแล้ว บอลยังต้องเตรียมตัวสอบข้อเขียนในโครงการนักศึกษาแลกเปลี่ยนไทย-จีน รอบ 2 ตามด้วยสอบสัมภาษณ์อีก (ซึ่งบอลสามารถสอบผ่านรอบแรกได้)
ดังนั้นผมเลยต้องใช้วิธีโลกสวยด้วยมือเราแก้ขัดไปก่อน
-----
เย็นวันหนึ่ง บริเวณหน้าโรงภาพยนต์ ณ ห้างสรรพสินค้ากาดสวนแก้ว -----
ผมกำลังดูโปสเตอร์หนังที่กำลังเข้าฉายในแต่ละโรงอย่างเพลิดเพลิน
"
มาคนเดียวหรือ?" เสียงทักทายดังขึ้นมา (เจ้าของเสียงเป็นผู้หญิงซะด้วย)
ผมหันไปมองด้วยความอยากรู้ พอหันไปสบตาเท่านั้น ผมรู้สึกเซ็งปนรำคาญ(แต่รู้สึกรำคาญมากกว่า)อยากจะวิ่งหนีไปให้เร็วเท่าไหร่ยิ่งดี
"
นึกว่าใคร ที่แท้ยัยหมีเล่นหวย(ห้ามผวนนะครับ ไม่สุภาพเป็นอย่างยิ่ง) นี่เอง " ผมแอบบ่นอยู่ในใจคนเดียว
"
ตอนนี้มาคนเดียว แต่อีกประเดี๋ยว ก็จะมากันหลายคน เรานัดญาติไว้ พวกเขาเพิ่งมาถึงเชียงใหม่ พักอยู่ที่ปางสวนแก้ว หมวยมาคนเดียวหรือว่ามากับใคร?" ผมทักทายตามมารยาท แถมแจกสตอเบอรี่ให้ยัยหมวยไปหลายกิโล
"
มากับยุ้ย น่าเสียดายเนอะ ถ้ากันต์มาคนเดียว จะได้ชวนไปดูหนังด้วยกัน หมวยอยากดูหนังกับกันต์มาก เมื่อไหร่จะได้มีโอกาสมาเที่ยวและมาดูหนังกับกันต์บางนะ" ยัยหมวยเริ่มออดอ้อน โดยพยายามเก๊กหน้าโชว์ความเซ็กส์ซี่(เสื่อม)
"
ยุ้ยอยู่ไหน?" ผมหันซ้ายหันขวามองหา
"
ยุ้ยไปเข้าห้องน้ำเดี๋ยวมา ตอนนี้กันต์อยู่หอไหน? ในหรือนอก?" ยัยหมวยเริ่มถามผม
"
เราต้องรีบไปก่อนนะ เรามาช้าไปเกือบครึ่งชั่วโมง มีหวังโดนพวกญาติๆบ่นแน่ๆ" ผมแกล้งมองนาฬิกา เพื่อหาโอกาสชิ่งหนีอย่างโดยเร็ว (แอ็คติ้งเนียนจริงๆตรู)
ผมรีบเดินหนีออกมาอย่างเร็ว อารมณ์อยากดูหนังหดหายไปหมดสิ้น ผมไม่ชอบชะนีเอามากๆ(หมายถึงชอบในทางชู้สาว) สำหรับผมถือว่าเป็นของแสลง
ผมเดินหนีอย่างรีบเร่ง จนทำให้ไม่ได้ดูทิศทางและผู้คน ผมรู้สึกว่าตัวเองเดินไปชนกับผู้หญิงคนหนึ่งเข้า (จากแรงปะทะ ทำให้สัมผัสได้ว่าฝ่ายตรงข้ามมีหน้าอก)
"
ขอโทษครับ ผมรีบเลยเดินไม่ได้ดู อย่าโกรธและอย่าถือสาผมเลยนะครับ ผมยอมรับผิดที่ทำอะไรประมาท ไม่รู้จักระวัง" " ผมรีบขอโทษขอโพย โดยไม่ทันมองหน้าฝ่ายตรงข้าม
พอผมเงยหน้าขึ้นมามองคู่กรณี ผมแทบหงายเงิบ+ลมจับทันที เพราะคู่กรณีไม่ใช่ใครที่ไหน เธอคือ นังกองฟาง เมียของป้อง นั่นเอง (สองเด้งจริงๆตรู)
นังกองฟางมากับป้อง โดยมีป้องทำหน้าที่เป็นขี้ข้าถือกระเป๋า+ถุงช็อปปิ้งเดินตามก้นอยู่ต้อยๆ ส่วนนังกองฟางเดินเชิ่ดนำหน้า ท่าเดินของนางเหมือนกับนางแบบเดินบนแคทวอล์คยังไงยังงั้น
"
ไม่เป็นไรคะ ฟางเองเดินดูของจนลืมดูคนเหมือนกัน จะว่าไปตัวฟางก็มีส่วนผิดอยู่ ถือว่าหายกันนะคะ" นังกองฟางยิ้มให้ผม (คำตอบของนางช่างโลกสวยมากๆ ถ้าไปตอบคำถามบนเวทีประกวดนางงาม รับรองมงกุฏหล่นใส่หัวนางแน่ๆ)
ผมยืนเอ๋อรับประทานไปชั่วขณะ (จะไม่ให้เอ๋อรับประทานได้ไง หนีเสือปะจระเข้ แท้ๆเลยตรู)
ครั้นเรียกสติกลับคืนมาได้ ผมรีบกล่าวคำขอบใจคู่กรณี
ก่อนที่จะเดินแยกย้ายไปนั้น ผมแอบชำเลืองมองดูป้องที่ยืนอยู่ข้างๆ สายตาของป้องที่มีให้ผมนั้น มันช่างดูเย็นชาไร้อารมณ์ ปราศจากอากัปกริยายินดียินร้ายใดๆทั้งสิ้น
ผมเดินลงบันไดเลื่อนอย่างเหม่อๆ การเจอป้องในครั้งนี้ ผมรู้สึกว่าอารมณ์ความรู้สึกของตัวเองเข้มแข็งและหนักแน่นมากกว่าเมื่อก่อน
ถ้าเป็นเมื่อก่อน ผมแทบจะเจ็บปวดรวดร้าว กระวนกระวายกินไม่ได้นอนไม่หลับไปหลายวันหลายคืน
แต่ในเวลานี้ วินาทีแรกที่ผ่านมาซักครู่ ผมยอมรับว่ารู้สึกจี๊ดๆร้อนๆหนาวๆไปชั่วขณะ แต่พอไม่กี่นาทีผ่านไป อารมณ์+ความรู้สึกของตัวเองก็สามารถปรับเข้าสู่โหมดปรกติได้โดยอัตโนมัติ ผมเห็นด้วยกับคำกล่าวที่ว่า "กาลเวลาเป็นยารักษาใจชั้นยอด"
ผมเดินมายังแผนกซุปเปอร์มาร์เก็ตชั้นใต้ดิน เพื่อซื้อขนมและของขบเคี้ยวต่างๆ
"
หน้าตาคุ้นๆ เหมือนเคยเห็นที่ไหน?" ผมพูดกับตัวเอง พร้อมกับชะเง้อมองดูหนุ่มน้อยที่กำลังยืนเลือกซื้อสบู่ แชมพู
หนุ่มน้อยคนนี้ใส่ชุดนักศึกษาผูกไทด์ เท่าที่ดูจากเครื่องแบบน่าจะเป็นมหาลัยเดียวกับผม
"
น่าจะใช่นะ เข้าไปทักก็ไม่เห็นเป็นไร ถ้าผิดคน อย่างมากก็แค่กล่าวคำ ขอโทษ" ผมบอกตัวเอง
"
ใช่ทอย หรือเปล่า?" ผมทักหนุ่มน้อยอย่างไม่ค่อยแน่ใจ เนื่องจากทรงผมที่เปลี่ยนไป เลยอาจทำให้หน้าตาเปลี่ยนตามไปด้วย (หนุ่มคนนั้นไว้ผมสั้นรองทรง ส่วนหนุ่มคนที่ผมเห็นในตอนนี้ ไว้ผมยาวเลยติ่งหูพอสมควร)
"
ครับเดี๋ยว!!! กันต์ ใช่ไหม?" หนุ่มน้อยรูปหล่อมาดเซอร์คนนั้น พยายามนึกชื่อผม
"
ใช่ ทอยจริงๆด้วย ไปยังไงมายังไง? ไม่ได้เจอกันจะเกือบปีแล้วนะ" ผมถามสารทุกข์สุกดิบของอีกฝ่าย (คุณผู้อ่านคงจะจำทอย น้องชายของพี่ทีสุดหล่อได้นะครับ)
"
เราสอบได้คณะวิจิตรฯ พักอยู่หอ3 นายละอยู่หอไหน?" ทอยถามไถ่ผม ด้วยอาการตื่นเต้นดีใจ
"
เราอยู่หอนอก หลังมอ นี่มาคนเดียวหรือว่ามากับใคร? " ผมหันหน้ามองไปรอบๆ
"
มาคนเดียว เรื่องมันยาว เดี๋ยวเราให้ฟัง กันต์มากับใครแล้วมายังไง?" ทอยถามกลับ
"
เรามาคนเดียว นายว่างไหม? จะได้ไปกินข้าวเย็นด้วยกัน" ผมกล่าวเชิญชวน
"
ตกลง ดีเหมือนกันกำลังหิวอยู่พอดี" ทอยรับคำเชิญ
ผมพาทอยไปกินข้าวที่ศูนย์อาหารบนชั้น3 ตอนแรกกะว่าจะพาไปร้านอาหารตามสั่งแถวช้างเผือก แต่ข้างนอกฝนตกหนัก เลยถือเอาความสะดวกสบายเป็นหลัก
เราทั้งสองได้พูดคุยถามไถ่สารทุกข์สุกดิบต่างๆนานา..
ทอยเล่าให้ผมฟังว่า ก่อนจะเจอผมที่กาดสวนแก้ว เขาได้ขี่มอเตอร์ไซด์เที่ยวรอบตัวเมือง แต่มอเตอร์ไซด์เสียข้างทาง เลยต้องจูงเดินไปหาร้านซ่อมละแวกนั้น โชคดีที่เจอร้านซ่อมรถใกล้กับกาดสวนแก้ว พอส่งมอเตอร์ไซด์เข้าอู่เสร็จ ฝนเริ่มตก เลยเข้ามาหลบฝนที่กาดสวนแก้ว
อีกเรื่องที่ทอยเล่าอย่างเซ็งๆคือ มาเรียนที่เชียงใหม่ ทอยรู้สึกเหงาและเบื่อ เนื่องจากเขาไม่ค่อยมีเพื่อนเท่าไหร่(เห็นบอกว่า ไม่ค่อยสนิทกับเพื่อนๆในคณะ ตามภาษาชาวบ้านคือ ยังหากลุ่มเพื่อนที่สนิทสนมไม่ได้) และที่สำคัญคือ ทอยไม่ค่อยกินเส้นกับรูมเมทของเขาเท่าไหร่ เลยทำให้ไม่อยากอยู่หอ (ตามประสาคนมีอารมณ์ศิลปิน+ติสแตกชนิดที่มากถึงมากที่สุด)
เรื่องที่ผมรอฟังจากปากของทอยอย่างใจจดจ่อคือเรื่อง พี่ทีสุดหล่อ โดยทอยเล่าให้ฟังว่า พอเรียนจบ พี่ทีก็บินไปอยู่กับพ่อแม่ที่อเมริกาทันที ตอนนี้กำลังสมัครเรียนต่อปริญญาโท (ผมลืมบอกไปตั้งแต่ต้นว่า พี่ทีเป็นเพื่อนโรงเรียนเดียวกับพี่ต่อ แต่พี่ทีสอบเทียบได้ตอนม.5 และยังสอบเอ็นฯติดอีกด้วย ดังนั้นพี่ทีจึงเข้าเรียนมหาลัยเร็วกว่าพี่ต่อ 1 ปี)
"
คืนนี้ว่างไหม? วันเสาร์กับอาทิตย์ว่างหรือเปล่า?" ผมถามทอย
"
ว่าง ทำไมหรือ?" ทอยทำหน้าสงสัย
"
ไปเล่นวีดีโอเกมส์ที่หอเราไหม? ส่วนวันพรุ่งนี้เรากะไปเที่ยวลำพูนกับลำปางอยู่พอดี เราจะได้มีนายไปเป็นเพื่อน งั้นคืนนี้นายมาค้างที่หอเรานะ?" ผมยื่นข้อเสนอพร้อมกับเชิญชวนทอย
"
อยากจะตอบตกลง แต่เราเกรงใจนายมาก" ทอยตอบอย่างตรงไปตรงมา
"
เกรงใจอะไรกัน เรายินดีอย่างเต็มที่ ถ้านายไม่สะดวกใจ ให้คิดซะว่า นายเป็นตัวแทนของพี่ที เรายังไม่มีโอกาสได้ตอบแทนความมีน้ำใจของพี่ทีเลย ยิ่งตอนนี้พี่ทีอยู่ไกลมาก เราไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้ตอบแทนพี่ทีเมื่อไหร่ ตอนเราไปกรุงเทพคราวก่อนโน้น พี่ทีเทคแคร์เราเป็นอย่างดี ขับรถพาเราไปโน่นไปนี่ แต่ยังดีที่เราเจอนาย ณ เวลานี้ ถือซะว่าการที่เราเทคแคร์นาย ก็เหมือนกับว่าเราได้เทคแคร์พี่ทีไปในตัวนะ " ผมอธิบายเหตุผลเพื่อให้อีกฝ่ายเกิดความสบายใจ
"
โอเค" ทอยตอบตกลง
ในเวลาเดียวกัน ทอยทำท่ากวักมือเหมือนจะเรียกใคร
"
พี่ป้อง ไม่นึกจะเจอกันที่นี่ มาซื้อของหรือว่ามาทำอะไรครับ?" ทอยทักทายฝ่ายตรงข้าม
ผมนั่งอยู่ตำแหน่งตรงข้ามกับทอย (นั่งหันหลังให้คนที่ทอยกำลังทักทาย) พอได้ยินชื่อของคนที่ทอยกำลังทัก ผมถึงกับสะดุ้งโหยง (ก็ชื่อดันเป็นชื่อเดียวกับใครคนนั้น จะไม่สะดุ้งได้ยังไง)
"
หวังว่าคงไม่ใช่เขาคนนั้นนะ" ผมได้แต่ภาวนาอยู่ในใจ โดยไม่กล้าหันไปดู
"
อ้าวทอย มาดูหนังหรือเปล่า?" เจ้าของเสียงพูดกับทอย พร้อมกันนั่งลงที่โต๊ะติดกัน
"
เปล่า ฝนตกเลยเข้ามาหลบฝนที่นี่ แล้วพี่ละครับ?" ทอยพูดอย่างเป็นมิตร
พี่มาดูหนัง กว่าหนังจะฉายตั้งชั่วโมงกว่า เลยมาหาอะไรกินก่อน" ชายหนุ่มเจ้าเสียงตอบ
ผมได้หันหน้าไปดูหน้าคู่สนทนาของทอย โอ้คุณพระช่วย ใช่เขาจริงๆด้วย ทำไมโลกมันช่างกลมขนาดนี้หนอ ผู้คนมีเป็นร้อยล้านคนไม่ยักเจอ ดันมาเจอคนที่ตรูไม่อยากจะเจอ(หรือเปล่าน๊า??)
"
ฟางนี่ทอย หลานรหัสเรา และเป็นน้องโรงเรียนเราด้วย จบมาจากโรงเรียนเดียวกัน นี่.. พี่ฟาง อยู่คณะบริหารฯ" ป้องแนะนำทอยและกองฟางให้รู้จักกัน
"
ยินดีค่ะ น้องทอย ทั้งลุงรหัสหลานรหัส หล่อเท่ห์สุดๆ โรงเรียนนี้คงมีแต่คนหล่อๆทั้งนั้นเลย" กองฟางเยินยอสองหนุ่ม (อ้อล้อตัวแม่จริงๆ นังคนนี้)
"
พี่ป้องพี่ฟางนี่กันต์ เรียนปีเดียวกับพวกพี่ แต่อายุรุ่นเดียวกับผม รู้จักกันที่กรุงเทพเมื่อปีที่แล้ว ไม่นึกเลยว่าจะได้เจอกันอีกครั้งที่นี่" ทอยแนะนำให้ผมรู้จักกับป้องและกองฟาง
"
เหรอ.. " ป้องยังคงทำสีหน้าเฉยๆ ส่วนผมก็ตีสีหน้าเฉยๆเข้าสู้ฝ่ายตรงข้าม
"
เมื่อกี้เพิ่งจะเดินชนกัน ไม่นึกว่าจะได้เจอกันอีก โลกกลมจริงๆ กันต์เรียนอยู่เมเจอร์ไหน?" กองฟางส่งยิ้มทักทายผม (ทำตัวเหมือนนางงามมิตรภาพเลยนะยะหล่อน)
"
เมเจอร์…. " ผมตอบอย่างสั้นๆ
"
ที่แท้ก็เมเจอร์เดียวกับมิ้นต์ ตอนปี1 เราเคยอยู่หอเดียวห้องเดียวกับมิ้นต์ พอขึ้นปี2 ย้ายออกมาอยู่หอนอก เลยไม่ได้เจอมิ้นต์อีกเลย มิ้นต์เป็นอย่างไรบ้าง? เรียนเมเจอร์เดียวคงได้เจอกันบ่อย" กองฟางคุยกับผมอย่างเป็นมิตร (แต่ในใจตรูหาเป็นมิตด้วยไม่ ถ้าไม่มีเรื่องป้องมาเกี่ยวข้อง ตรูคงจะเป็นมิตรกับนาง เพราะเท่าที่ดู นางก็เป็นคนดี+มีมิตรไมตรีมากคนหนึ่ง)
"
มันก็สบายดีนะ พูดมากเป็นโทรโข่งเหมือนเดิม" ผมแอบเม้าท์เพื่อนร่วมสาขาเดียวกัน
"
อย่างมิ้นต์ เขาต้องเรียกว่าเป็นคนใช้วาทะศิลป์เก่ง ปากเป็นเอกเลขเป็นโท เห็นเขาเคยบอกว่า การพูดเป็นการออกกำลังทางปากอย่างหนึ่ง" กองฟางพูดสนับสนุนอย่างอารมณ์ดี
ผมคุยกับกองฟาง ส่วนป้องคุยกับทอยเรื่องสัพเพเหระต่างๆอย่างออกรส
"
พรุ่งนี้ว่างหรือเปล่า? จะได้ชวนไปก๊งเหล้า" ป้องเอ่ยถามทอย
"
ไม่ว่าง พรุ่งนี้ผมจะไปลำพูนกับกันต์แต่เช้า" ทอยตอบไปตามตรง
"
พอได้มีโอกาสเจอกัน คราวนี้ตัวติดกันเป็นปาท่องโก๋เชียวนะ แต่ไม่เป็นไร เอาไว้คราวหน้าก็ได้ ยังมีเวลาชนแก้วกันอีกเยอะ" ป้องมองผมและทอย ด้วยสายตาที่รู้เท่าทัน
"
ดีแล้วที่ไม่ว่าง ป้องนี่.. ชอบชวนน้องทอยไปเสียคนอยู่เรื่อย จะกินเหล้าไปทำไมเยอะแยะ มันไม่เกิดประโยชน์เลย" กองฟางต่อว่าป้อง
เมื่อกินอาหารเสร็จเรียบร้อย พวกเรานั่งคุยกันได้ซักพักหนึ่ง ป้องและกองฟางขอตัวแยกออกไปก่อน เพราะหนังใกล้จะฉาย
การได้เจอป้องในครั้งนี้ ผมรู้สึกดีขึ้นมากกว่าเมื่อก่อน ดีขึ้นในด้านของการวางตัวและการควบคุมอารมณ์ความรู้สึกของตัวเอง ไม่ให้พริ้วไหวแตกกระเจิงไปกับภาพองค์ประกอบที่เห็น
วินาทีแรกที่ป้องเดินเข้ามาคุยกับทอย ผมอาจจะรู้สึกสั่นๆตื่นเต้นปนจี๊ดขึ้นมาเล็กน้อย แต่พอผ่านไปไม่กี่นาที ก็สามารถปรับอารมณ์ตัวเองเข้าสู่สภาวะปรกติได้ไม่ยาก
………………………………………………………………………………………………………………………………
ทอยนั่งเล่นวีดีโอเกมส์อย่างอารมณ์ดี ดูเหมือนภาพทอยคนเดิมที่ผมเห็นในครั้งก่อน กลับมาปรากฏให้เห็นอีกรอบ แทบไม่เหลือเค้าภาพของทอยที่ผมเจอในกาดสวนแก้วอีกต่อไป(ภาพของทอยที่ผมเจอใน กาดสวนแก้ว หน้าตาเหมือนคนเบื่อโลกยังไงไม่รู้)
ทอยยังคงเล่นวีโอเกมส์อย่างสนุกสนานจนดึกดื่น ส่วนผมเผลอหลับไปตอนไหนก็ไม่รู้ จนเผลอตื่นโดยบังเอิญ ผมค่อยๆลืมตา เพื่อมองดูนาฬิกาแขวนบนฝาผนังที่แขวนอยู่เหนือทีวี ว่ากี่โมงแล้ว
เมื่อเห็นภาพในทีวี ผมตาสว่างทันทีจนไม่ต้องพึ่งกาแฟแต่อย่างใด ภาพในทีวีเป็นภาพหนังโป๊ชายกับชาย จากหนึ่งในม้วนวีดีโอหนังโป๊เกย์ของผม ที่วางในลิ้นชักตรงชั้นวางทีวี (ตอนแรกนึกว่าทอยคงสนใจแต่ม้วนวีดีโอเกมส์ซึ่งอยู่ลิ้นชักข้างบนอย่างเดียว ผมเลยไม่ได้ใส่ใจม้วนวีดีโอที่เป็นหนังเท่าไหร่ งานเข้าอีกแล้วตรู!!!)
ทอยนั่งดูพร้อมกับใช้มือลูบเป้ากางเกงของตัวเอง
"
ฮัดเช้ย…. " ผมเผลอจามออกมาอย่างลืมตัว และแกล้งทำเป็นหลับต่อไป เพื่อไม่ให้ไก่ตื่น
เมื่อได้ยินเสียงจามของผม ทอยรีบปิดทีวีทันที พร้อมกับเอาม้วนวีดีโอออกจากเครื่องเล่นอย่างรวดเร็ว จากนั้นปิดไฟเพื่อเข้านอน
ทอยล้มตัวลงนอนใกล้กับผม ภาพของทอยลูบเป้ากางเกงเมื่อซักครู่ ช่างทำให้ผมเกิดอารมณ์ทางเพศยิ่งนัก ผมพยายามควบคุมสติของตนเองไม่ให้เตลิดไปไกลกว่านี้ สำหรับทอยแล้ว ผมไม่เคยคิดเรื่องใต้สะดือกับทอยเลย อาจเพราะ ทอยเป็นน้องของพี่ที ซึ่งผมกับพี่ทีเคยมีอะไรต่อมิอะไรกันมาก่อน อีกอย่างผมยังไม่แน่ใจนักว่า ทอยรู้เรื่องระหว่างผมกับพี่ทีหรือไม่? (ไม่รู้สิ มันเป็นความรู้สึกที่ผมอธิบายไม่ออก ยังไงคุณผู้อ่านช่วยกันเดาและวิเคราะห์ความรู้สึกแทนผมด้วยนะครับ)
ในที่สุดผมก็พ่ายแพ้ต่อไฟตัณหาราคะของตัวเอง ผมแกล้งนอนพลิกตัวแล้วเอาแขนไปกอดทอย (ลองหยั่งเชิงดูก่อนว่า ทอยเล่นด้วยหรือเปล่า? ถ้าเกิดไม่เล่นด้วย ผมก็ไม่ดันทุรังบังคับฝ่าฝืน คงต้องแอบไปชักว่าวเอาเองในห้องน้ำ
ซักพักทอยใช้มือลูบตรงแขนผมอย่างเบาๆ (ได้ไปต่อแล้วตรู 555+ ) เมื่อฝ่ายตรงข้ามให้สัญญาณแบบนั้น ผมก็ใส่เกียร์เดินหน้าต่อไป
ผมใช้มือลูบผ่านบริเวณหน้าท้องของทอย ลงไปสู่หัวหน่าว ตรงนี้นิ้วของผมสามารถสัมผัสกับหัวด้ามปืนที่แข็งโด่ของทอย อย่างจังๆ
ผมสอดมือผ่านกางเกงเข้าไปยังกางเกงในของทอย เคของทอยแข็งโด่รอการนวดคลึงจากมือของผม
ผมใช้นิ้วมื้อเขี่ยขนหะมอยของทอย ที่ขึ้นประปราย เล่นอย่างค่อยๆ ทอยพลิกตัวจากท่านอนตะแคงหันหลังให้ผม มาเป็นท่านอนหงาย ผมได้จังหวะ เลยใช้มือถอดเสื้อพร้อมกางเกงของทอยออกจนหมด รวมทั้งของผมเองอีกด้วย
เราทั้งสองอยู่ในสภาพล่อนจ้อนด้วยกันทั้งคู่ ทอยยังคงนอนนิ่งเฉย ส่วนผมนั้นเริ่มขึ้นไปนอนทับบนตัวทอย ผมค่อยๆใช้จมูกไซร้ตามซอกหู ต้นคอของทอยอย่างทะนุถนอม
เสียงครางอย่างเบาๆของทอย ดังออกมาเกือบทุกวินาที ผมลากลิ้นยาวลงมาเลียรอบๆหัวนมทั้งสองข้างของทอย ส่วนมือก็ลูบคลำไข่นกกระทา 2 ฟองของทอยเล่นอย่างเมามันส์
เมื่อเลียหัวนมจนหนำใจแล้ว ผมก้มลงไปที่ลูกกระโปกของทอย พร้อมใช้ลิ้นเลียวนไปวนมา เสียงครางของทอยเริ่มดังขึ้นและลากยาวมากขึ้น
ผมใช้ปลายจมูกสูดดมจากลูกกระโปกขึ้นไปสู่ลำแท่งทวนอันแข็งโด่ของทอย แท่งทวนของทอย ตั้งตรงมีขนาดใหญ่และยาวมาก เมื่อเทียบกับของพี่ที (แต่ยังไม่ถึงขนาดของแซยิด) หัวเปิดบาน แถมมีกลิ่นสาบเพิ่มอารมณ์ทางเพศนิดๆ
ก่อนจะถึงบริเวณรอยหนักตรงส่วนหัวกระดอ ผมใช้ลิ้นเลียนรอบๆเส้นแบ่งบนหัวรอยหยัก ทอยเริ่มแกว่งตัวอย่างพริ้วไป และใช้มือทั้งทั้งสองข้างจิกเส้นผมบนศรีษะของผม
ผมอ้าปากครอบแท่งทวนของทอย จนมิดลำ ผมรู้สึกจุกบริเวณลำคออย่างบอกไม่ถูก แท่งทวนของทอยช่างใหญ่คับปากผมจริงๆ ผมใช้ริมฝีปากหนีบลำแท่งทวนอย่างแน่น จากนั้นก็ชักขึ้นๆลงๆ
เสียงร้องครางของทอยดังออกมาไม่ขาดปาก ซักพักทอยพยายามใช้มือทั้งสองข้างดึงหัวผมออกห่างจากแท่งทวนของตัวเอง
"
เราเอาตูดนายได้ไหม?" ทอยถามผม
ผมพยักหน้า พร้อมลุกไปหยิบเจลหล่อลื่น มาชะโลมทั่วลำทวนของทอย และทั่วผนังทางเข้าถ้ำทองของผม
"
โอ๊ยเบาๆหน่อยซิ ค่อยๆเสียบช้าๆ อย่าเร่งรีบ" ผมร้องเสียงหลง (เท่าที่ดูวิธีการเสียบ สงสัยทอยคงยังไม่เคยเอาทั้งประตูหน้าและหลังมาก่อน ถึงได้เสียบพรวดพราดขาดจังหวะผ่อนหนักผ่อนเบาอย่างนี้)
ทอยค่อยๆจับแท่งทวนอันแข็งปั๋ง จ่อปากถ้ำทองของผม โดยดันเข้าไปทีละนิดละหน่อย ซักพักพอแท่งทวนเข้าไปในถ้ำทองใกล้จะมิดลำแล้ว ทอยก็เริ่มกระเด้าเข้าๆออกๆอย่างเป็นจังหวะผมรู้สึกจุกไปทั่วท้องน้อย เนื่องจากขนาดเคของทอย ใหญ่จริงๆ เมื่อผนังถ้ำทองของผมเริ่มปรับตัวต่อขนาดเคของทอยๆได้แล้ว ความจุก ความเจ็บก็เริ่มกลับกลายมาเป็นความเสียวแทน
ทอยกระเด้ากระดอเข้าๆออกๆในรูดากของผมอย่างติดลมบน เสียงที่ครางออกมาบ่งบอกได้ถึงความเสียว ไม่เกิน 15 นาที น้ำกำหนัดอุ่นๆหนืดๆเหนียวๆของทอยก็แตกในรูดากของผม
หลังจากทอยถอดแท่งทวนออกจากรูดากของผมๆรู้สึกเจ็บแปล็บขึ้นมา เพราะขนาดที่ใหญ่ของแท่งทวน
ซักพักผมขอร้องให้ทอยช่วยผมให้ถึงจุดสุดยอด โดยทอยเลียหัวนมของผม ส่วนผมใช้มือข้างขวาสาวว่าวให้ตัวเอง ส่วนมือข้างซ้ายก็จับแท่งทวนของทอยเล่น ไม่นาน น้ำอสุจิของผมก็พุ่งกระจายออกมา
ทอยเล่าให้ผมฟัง ทอยรู้มาตั้งนานแล้วว่า พี่ทีเป็นเกย์ โดยเฉพาะตอนที่ผมมีอะไรกับพี่ทีในเรือนแพคืนนั้น ทอยเห็นโดยบังเอิญ ทอยตื่นกลางดึกมาเข้าห้องน้ำ แล้วประตูห้องนอนของผมกับพี่ทีปิดไม่สนิท เปิดแง้มบานไว้ ประกอบกับเสียงร้องครวญครางของผมค่อนข้างดัง เลยดึงดูดความอยากรู้อยากเห็นของทอย ทำให้ทอยแอบย่องไปแอบดูตามรอยแง้มของบานประตู
การมีเพศสัมพันธ์กับทอย ช่างเสียวและจุกปนเจ็บ ครบเครื่องจริงๆ นับจากคืนนั้น ผมกับทอยก็เล่นเสียวกันเป็นประจำ
ส่วนบอล หลังจากสอบได้ทุนนักศึกษาแลกเปลี่ยนไทย-จีน ก็ยุ่งกับการเตรียมตัวต่างๆไม่ว่าจะเป็นเอกสารและข้าวของเครื่องใช้ที่จำ เป็น ผมเองได้เจอกับเขาแค่ 2-3 ครั้ง ก่อนเขาจะไปจีน (บอลไปจีนก่อนสอบปลายภาคประมาณ 2 อาทิตย์ โดยเขาขออนุญาตกับทางมหาลัย สอบปลายภาคล่วงหน้าก่อนกำหนด)
บอลต้องไปเป็นนักศึกษาแลกเปลี่ยนที่จีน ระยะเวลา 1 ปี (เขาไปตอนผมอยู่ปี 3 จะขึ้นเทอม 2 ตอนเขากลับมาผมก็อยู่ปี 4 จะขึ้นเทอม 2)
………………………………………………………………………….............................
ปี3 เทอม2 ผมยังคงผูกปิ่นโตเป็นขาประจำของทอย เพราะเทอมนี้ ผมต้องเรียนหนักมากกว่าปรกติ ชนิดลงทะเบียนเรียนเต็มวัน (จันทร์-ศุกร์)ตั้งแต่ 8 โมงเช้ายัน 5 โมงเย็น เพื่อชดเชยช่วงปี2 เทอม1 ที่ผมได้ไปเป็นนักศึกษาแลกเปลี่ยนข้ามมหาลัย (ถ้าขืนไม่กระหน่ำลงทะเบียนแบบนี้ มีหวังไม่ได้จบ 4 ปี แน่ๆ) เลยทำให้ไม่มีเวลาว่างออกไปไหนมาไหนหรือหมกมุ่นแต่เรื่องใต้สะดือเหมือน เมื่อก่อน
……………………………………………………………………............................
ปีการศึกษา 2540
ปีนี้เป็นปีการศึกษาสุดท้ายของการเป็นนักศึกษาปริญญาตรี ในรั้วมหาลัยแห่งนี้
4
ปี ช่างผ่านไปไวจริงๆ ตอนเข้ามาเป็นนักศึกษาปี1 ผมเคยถอนหายใจว่า จะเรียนไหวไหมนี่? อีกตั้ง 4 ปี นะ หนทางข้างหน้าจะเป็นอย่างไรหนอ.. ?
แต่ในที่สุด ผมก็ฝ่าฟันมาจนถึงจุดนี้ ไม่มีอะไรยากเกินความสามารถ ถ้าเรามีความพยายามตั้งมั่น ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคข้อผิดพลาดทั้งหลายทั้งปวง ความสำเร็จจะเข้ามาหาเราได้ไม่ยาก
สำหรับเรื่องประสบกามของผมในชั้นปี4 นั้น ไม่ค่อยมีอะไรโลดโผนตื่นเต้นหรือน่าสนใจเหมือนแต่ละชั้นปีที่ผ่านมา ออกจะน่าเบื่อ เนือยๆด้วยซ้ำ
เริ่มจากเทอม1 ช่วงต้น-กลางเทอม ผมยังคงผูกปิ่นโตเจ้าประจำกับทอยอยู่เหมือนเดิม แต่พอมาถึงช่วงกลางเทอม ต่างฝ่ายต่างมีภาระกิจจะต้องรับผิดชอบสะสาง เลยไม่มีเวลาว่างทั้งคู่ หลังจากนั้น ทอยเริ่มหายหน้าหายตาไป มาทราบภายหลังได้ข่าวว่า ทอยมีแฟน(ผู้หญิง)เป็นนักศึกษาชั้นปีเดียวกัน แถมยังเป็นดาวคณะผมอีกด้วย ซึ่งผมรู้สึกยินดีกับทอยอย่างยิ่งที่เห็นทอยมีความสุข มีคนรู้ใจเคียงข้าง
เทอม2 ต้นเทอม-กลางเทอม ไม่มีอะไรหวือหวา แต่ก็ไม่ถึงกับน่าเบื่อ เพราะตอนนั้นมีซาวน่าเกย์เพิ่งเปิดใหม่แห่งแรกในเชียงใหม่ คือ "เฮ้าส์ออฟเมล" ทุกครั้งที่ผมได้เข้าไปใช้บริการ ก็ได้ประลองวิทยายุทธกำลังภายในใต้สะดือกับบรรดาหนุ่มหล่อที่ไปใช้บริการที่ นั่น (ไม่ได้มีอะไรหวือหวาน่าตื่นเต้นเร้าใจชวนให้กระเจี๊ยวโด่เท่าไหร่ เลยไม่ขอเล่า แบบถือคติที่ว่าเน้นคุณภาพมากกว่าปริมาณ)
ช่วงปลายเทอม ยิ่งไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นเลย ผมมัวแต่ยุ่งเรื่องเรียน เพราะเป็นเทอมสุดท้ายด้วย บรรดาเพื่อนๆในสาขาวิชาเดียวกับผม ต่างมัวแต่ยุ่งกับการสมัครเรียนต่อปริญญาโท หรือไม่ก็สมัครงานตามบริษัทและหน่วยงานต่างๆ ส่วนตัวผมนั้น ชิวส์ๆ สบายๆ ไม่ได้ส่งใบสมัครไปยังที่ไหนทั้งนั้น
ทำไม? เพราะอะไร? ถ้าอยากรู้คำตอบ ต้องติดตามภาค2 นะครับ (แอบโฆษณาอย่างเนียนๆ)
......................................................
ของแถมเล็กๆน้อยๆ
-
ป้อง = ตั้งแต่เจอกันโดยบังเอิญที่กาดสวนแก้วคราวนั้น ผมก็ไม่ได้เจอกับป้องอีกเลย
-
บอล = หลังจากกลับมาจากจีน ผมไม่ติดต่อกับบอล เพราะน้องชายของบอลได้ย้ายไปอยู่หอพักอีกแห่งหนึ่ง พอบอลกลับมาเลยต้องย้ายตาม ยังดีที่ผมพอมีโอกาสได้เจอบอล ถึงแม้จะแค่ครั้งเดียวก็ตาม(เจอกันโดยบังเอิญที่หอสมุด ก่อนวันสอบปลายภาควันสุดท้าย)
-
ภีม = ผมมีโอกาสได้สาน(เพศ)สัมพันธ์กับภีมอีกรอบ ตอนภีมขึ้นมาเที่ยวเชียงใหม่กับครอบครัวช่วงฤดูหนาว (เวลานั้นบอลยังอยู่ที่จีน) และนัดเจอกับผม
-
พี่ต่อ = ตั้งแต่เหตุการณ์ในโรงอาหารครั้งนั้น ผมกับพี่ต่อก็ไม่มองหน้ากันเลยจนกระทั่งพี่ต่อเรียนจบ
-
พี่ที = หลังจากพี่ทีไปอยู่อเมริกากับพ่อแม่แล้ว ผมขาดการติดต่อกับพี่ทีไปช่วงหนึ่ง จนกระทั่งได้อีเมลของพี่ทีจากทอย(สมัยนั้นอีเมลกำลังเป็นของใหม่ และได้รับความนิยมอย่างมาก) ผมเลยได้มีโอกาสติดต่อกับพี่ทีอีกครั้งทางอีเมล
-
ไอ้พัฒน์ = นับตั้งแต่ที่มันมาเยี่ยมผมที่เชียงใหม่คราวนั้น ผมยังติดต่อกับมันทางโทรศัพท์ 3-4 ครั้ง หลังจากนั้นก็ขาดการติดต่อกัน อาจเป็นเพราะต่างคนต่างมีภาระหน้าที่ที่จะต้องรับผิดชอบด้วยกันทั้งนั้น
ขอขอบพระคุณ คุณผู้อ่านทุกท่านที่คอยติดตามและให้กำลังกันมาตั้งแต่ต้นเรื่อง อย่าลืมติดตามภาค2 นะครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น