วันอังคารที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

หลังม่านดำ [เรื่องสั้น]

คนกำลังแพ้เขาท้อถอนลมหายใจออกมาอย่างแรงราวกับว่ามันอัดเสียดแน่นอยู่ในกาย แสงรำไรยามเย็นอ่อนแสงลงเป็นความครื้มสลัวทุกอย่างที่มองเห็นมัวหม่น อึดไม่ช้าก็จะเลือนไปกับความมืดและประกาศแสงไฟส่องเรืองจะมาแทนที่ เวลากลางวันที่ผ่านไปรวดเร็ว ราวกับว่าไม่ได้ทำสิ่งใดในช่วงนั้นเลย ชายหนุ่มเดินครุ่นคิดด้วยความมึนล้าในสมอง เขาทอดสายตามองไปบนท้องถนนท่ว่างจากรถราชั่วครู่หนึ่งก่อนที่จะพากันบึ่งแล่นผ่านไปอย่างรวดเร็ว ก้าวเท้าที่ย้ำลดความเร็วลงด้วยความเมื่อยล้าเกาะกุมทุกเส้นเอ็น เขานึกทบทวนอยู่ในใจว่าวันนี้ได้เสาะหาไปที่ไหนบ้างก็ดูสับสนไปหมด พอแล้วหรือยังกับความพยายามทำที่จะยอมแพ้กับมันทนได้ไหมกับการไม่ได้คุยไม่ได้ทำความเข้าใจกัน มันไม่ใช่เรื่องใหญ่เลยแต่ทำไมช่างทุกข์ทรมานเช่นนี้ ‘’ ผมไม่รู้ว่าคุณมีเรื่องไม่สบายใจอะไร ดูคุณเหม่อยลอยตลอดเวลา การลาพักร้อนครั้งนี้คงช่วยคุณบ้างนะ’’ เขานึกถึงคำพูดของเจ้านายตอนยื่นใบลาพัก ถ้าวันนี้ไม่เป็นไปตามที่หวังสภาพคงแย่กว่าเดิมมาก สามวันที่ผ่านไม่มีอะไรดีขึ้นเลยนอกจากเหนื่อยเพลียทั้งกายใจ พรุ่งนี้ จะทำงานได้อย่างไรในเมื่อสภาพจิตใจยังมีแต่ความว้าวุ่น อุตส่าห์ลำบากติดตามหาจะล้มเลิกไปเสียดูจะเป็นการสูญเปล่าอย่างมากและไม่มีทางช่วยให้พ้นความเศร้าหมองนี้มันต้องเป็นทุกข์ไปตลอดที่ไม่ได้แก้ไขอะไรเลย เท้าที่ก้าวไปแต่ละก้าวบนทาทวิถีเหมือนไม่ได้เตะพื้นเลยมันเบาโหวงมีแต่สมองเท่านั้น ที่ยังสั่งให้หยุดไม่ได้ เขาคิดแล้วคิดอีกว่าจะไปไหน จะต้องทำอย่างไรอีกบ้างพอจะช่วยได้ แสงตามไฟจากโคมไฟข้างทางที่ส่องสลัวนวลบนทางเท้าเป็นความสว่างเท่านั้นที่บอกทางไป ดวงตาพร่าพรายกับไฟหน้ารถยนต์ที่แล่นสวน เสียงต่างๆ ไม่ว่าเสียงเครื่องยนต์ที่แล่นสวนเสียงต่างๆ ไม่ว่าเสียงเครื่องยนต์ดังอื้ออึงอยู่ในสมอง ภาพผู้คนที่มองเห็นมันบางเบารางเลือนคล้ายเงา ผ่านแนวกำแพงรั้วทึบจนถึงตู้โทรศัพท์ฝาผนังกระจกแตกร้าวสะดุดตากับแสงสว่างสีน้ำเงินใส เขาหยุดหันไปเพ่งมองแล้วก้าวเข้าไปยกหูโทรศัพท์หยอดเศษเหรียญมันใช้การได้มีสัญญาณให้หมุนเรียกสาย’’สวัสดีครับ’’ เขารีบกรอกเสียงเมื่อได้ยินคนทางโน้นรับสาย ‘’ ตุ้มใช่ไหมครับ ผมพันธ์นะคับ อยากรู้ว่าคมไปที่นั่นรึเปล่า’’ เขาวางหูโทรศัพท์อย่างสิ้นแรงเมื่อฟังคำพูดโต้กลับมาและคำขอบคุณจากปากแทบไม่เป็นเสียงก่อนยุติการสนทนาเพราะคำที่ได้ยินว่าไม่รู้ไม่เจอตอบอย่างไม่ใยดี ฟังเสียงจนบาดเข้าไปถึงขั้วหัวใจ สายตาที่มีแววผิดหวังของชายหนุ่มอึ้งงงจ้องมองกำแพงที่มีเถาตีนตุ๊กแกเกาะเป็นพืดหนาต้องกระทบแสงไฟมองเห็นเป็นฉากดำ แล้วเดินไปยังม้าหินซ่อนดำตะคุ่มอยู่ในความมืดของเงาไม้ เขาทรุดลงนั่งอย่างหมดแรงยึดขาออกไปปล่อยใจลอยหาหนทางอย่างไม่ยอมแพ้ สายลมโชยพัดหอบเอากลิ่นควันจากท่อไอเสียรถมารุ่นรมอยู่รอบตัว คนกำลังแท้เขาทอดถอนลมหายใจออกมาอย่างแรงราวกับว่ามันอัดเสียแน่นอยู่ภายในกาย ถึงเวลานี้เขาเองเริ่มเข้าใจหายจากความงุงงงต่อเรื่องที่เกิดขึ้นและพยายามทวนลำดับเหตุการณ์ จำได้ว่าเช้าวันนั้น สายเนือยๆ ของเพื่อนจับจ้องตัวเขาที่กำลังจะออกไปทำงานชายหนุ่มเพิ่งสังเกตเห็นหน้าตาของอาคมหมองทรุดโทรมอย่างคนเป็นทุกข็หนักด้วยผิดหวังรุนแรงบางอย่าง เขาไม่อาจรู้ตัวได้เลยว่าท่าทางหรือหน้าตาเมื่อหันไปมองอาคมแสดงออกไปอย่างไร แต่สายตาของเพื่อนกลับฉายความชอกช้ำเพิ่มขึ้นอีกโต้กลับมา เขาคิดอยู่ในใจด้วยความสมเพช ชายหนุ่มเสเพลกำลังรู้สำนึก เลิกหลงเตลิดอยู่กับ เรือนร่างและหน้าสตางดงามที่คิดว่าสวรรค์มอบให้มาเพื่อที่ใช้ประโยชน์จากมันให้ได้มาซึ่งสิ่งต้องการตลอดเวลาอาคมไม่เคยสนใจอะไรเลยนอกจากตัวเองเป็นเทพบุตรหลงเงาใจแตกหาแต่วัตถุมาบำรุงบำเรอตนอย่างไม่เพียงพอ เขารู้อยู่แก่ใจดีว่าทางเดินของอาคมเป็นรูปเงามายาลวงหาความจริงใจแก่กันไม่ได้มีแต่หวังประโยชน์จากกันและกัน เมื่อหมดประโยชน์ที่จะขายกันได้อีกแล้วก็ทอดทิ้งให้หลงทางตอนนี้เพื่อนหนุ่มได้กลับมาหาเขาเพื่อหวังจะช่วยให้เริ่มต้นใหม่พ้นทางเดินสายเก่า โดยที่จะได้รับความจริงใจความเป็นมิตรอย่างแท้จริงจากตัวชายหนุ่มแต่เขากลับชี้ให้เห็นดีในวิถีเก่าของอาคมไม่ยอมให้ถอนตัวออกมาโดยไม่สนใจต่อความรู้สึกของเพื่อนหนุ่ม ชายหนุ่มหยุดคิดเพ่งมองหน้าเพื่อนที่มีแต่ความรวดร้าว สันจมูกโด่งของอาคมทำให้กรอบตากลวงลึกเน้นดวงตาเหนื่อยล้ายิ่งขึ้นเหลือบหลุบสายตาของเขาที่จ้อง ตอนเช้าเวลาจะออกไปทำงานมันเป็นเวลาที่เขามีอารมณ์ขุ่นมัว รู้สึกรำคาญและเบื่อหน่าย ชายหนุ่มพยายามนิ่งสงบใจก่อนพูดยืนยันความคิดเดิมของตัวเอง ‘’ … ถ้าเรียนหนังสือใหม่หรือไม่เรียนมันมีค่าเท่าเดิม เพราะเรียนจบออกมามันก็ต้องตกงานถ้าอยากเรียนจริงๆ น่าจะพยายามเสียแต่ตอนแรกไม่ควรปล่อยให้มันเสียไป แล้วมาเริ่มต้นใหม่อายุพวกเราไม่ใช่ สิบเก้า ยี่สิบปี แต่จวนจะยี่สิบห้าไปแล้ว’’ ‘’… อาจจริงที่พูดแล้วพันธ์จะให้ผมทำอย่างไรอยากรู้…’’ ‘’ …คมทำอย่างไรมาก็ต้องไปตามนั้น ไปหาตุ้มที่ร้านให้เขาช่วยหาเงินเกี่ยวกับนายแบบอย่างเก่าแล้วพยายามทำให้ดีถ้าตั้งใจจริงแล้วต้องพบความสำเร็จ…’’ คำตอบของเขาทำให้เพื่อนหนุ่มแสดงทีท่าไม่พอใจ พูดโต้กลับด้วยเสียงขุ่น เคือง ‘’….ไม่ ไม่มีที่ไหนเขาต้องการผมอีกแล้วและผมก็ไม่ต้องการมันด้วย ถ้างั้นไม่เสียเวลามาที่นี่พูดกับพันธ์หรอก…’’ ‘’…คิดดูให้ดี ที่กรุงเทพมีอะไรเหลือให้กับคนหนุ่มสาวอีก งานสำหรับคนที่เรียนจบไม่มีเหลือให้อีกแล้ว งานเก่าที่ทำมันทำให้คนมีเงินมากใช้ชีวิตฟุ้งเฟ้ออยู่อย่างหรูหรา ถ้าไม่ต้องการมันก็กลับไปบ้านที่เริ่มต้นที่ที่นั่นดีกว่าอยู่ที่นี่อย่างเคว้งคว้างไม่ได้อะไรเลย…’’ ถ้อยคำของเขายิ่งพูดราวกับจะทำให้อาคมเสียจิตใจ ท่าทางแสดงออกถึงความขุ่นเคืองความสุภาพอ่อนโยนที่เป็นลักษณะเดิมของเพื่อนหนุ่มหมดไปเหลือแต่ความเกรีย้วกราด ชายหนุ่มมองอาการเหล่านั้นของอาคมว่าเป็นท่าทางของเด็กที่กำลังเอาใจตัวเอง ‘’…ผมมันโง่ที่ยังหลงคิดว่าตัวเองมีเพื่อนรักที่ยังห่วงใยพอที่จะให้กำลังใจให้ความหวังช่วยเหลือที่จะต่อสู้กับชีวิตที่เหลวแหลกมาแล้วได้ตั้งตัวใหม่อีก ผมไม่มีเพื่อนเลยเจอแต่คนลวงมาตลอดแม้แต่คนที่ศรัทธาอย่างพันธ์ยังผลักไสไล่ให้ไปลงนรก ผมไม่น่ากลับมาหาพันธ์อีกเลยทำให้ความรู้สึกที่ดีหมดไปพอทีสำหรับทุกอย่าง ขอบใจมากนะที่ให้ที่ชุกหัวนอนมาหลายวัน…’’ เสียงพูดของอาคมเต็มไปด้วยความขมขื่น เขาตลึงงันทำอะไรไม่ถูกได้แต่นิ่งเงียบด้วยความเสียใจกับการกระทำของตน ที่ทำให้เรื่องจบด้วยความเลวร้าย เขาเห็นร่างเพื่อนผลุนผลันเดินออกไปจากห้องพักอย่างรวดเร็วสมองของชายหนุ่มปวดร้าวแทบระเบิดออกมาไม่สามารถยับยั้งเพื่อนไว้ได้ สายลมกระพือพัดมาต้องใบหน้าชายหนุ่มให้ตื่นจากการหวนทบทวนเรื่องราวทั้งหมด-เพื่อน- เขานึกถึงคำนี้แล้วเหมือนโดนของมีคมเชือดเฉือนใจ เพราะความอาทรที่สำนึกภายในใจของเขาซึ่งได้ซ่อนเอาไว้ด้วยความอายอย่างลึกลับมีความรู้สึกต่อเทพบุตรรูปงามตนนี้อย่างไร ชายหนุ่มหยุดความคิดฟุ้งซ่อนในมุมมืด มันทำให้เกิดความรู้สึกเดียวดาย จิตใจเลื่อนลอยอย่างคนบ้าที่ถูกทอดทิ้ง และเป็นวิธีสุดท้ายสำหรับคนสิ้นหวังเท่านั้น เขาไม่ยอมล้มลงตรงนี้ตั้งใจแน่วแน่ยืนขึ้นเมื่อความเมื่อยล้าหายไป ไปสู่สถานที่คาดว่าจะเจอะเจอจากตรงนั้นผ่านแมกไม้ใบบางมองทะลุลอดออกไปเห็นแสงไฟเปิดสว่างของกลุ่มตึกสูงเบื้องหน้า มันเป็นซอยที่มีแสงนีออนจากตึกแถวสองฝากฉายแสงกระพริบหลากหลายสีดูสดสวยหลอกล่อเย้ายวนใจ ถ้าผู้ที่หลงทางมาในเวลาค่ำคืนพบเห็นจะหลงใหลในความงดงามและชื่นชมกับความสว่างเพียงแสงริบหรี่ที่ไม่ได้ส่องให้เห็นภาพที่แท้จริง เขาเดินเข้าไปแสงไฟจากถนนใหญ่ส่องสาดผ่านด้านหลังเกิดเงายางทาบไปเบื้องหน้าแล้วถูกกลืนหายไปกับความสว่างรางๆรอบกาย เขามองผ่านชื่อสถานที่ซึ่งคนที่รู้จักได้บอกให้มา ซึ่งอาจเจออาคมหรือสอบถามหาตัวเพื่อนหนุ่มได้ ชายหนุ่มไม่รอช้ารีบเปิดประตูเดินเข้าไปภายในสายตาแปลบกันแสงวูบวาบสลับกับความมืดและเสียงกระหึ่มของดนตรีจังหวะเร่าร้อน ชายหนุ่มตลึงเหมือนคนพลัดหลงไปยังอีกโลกหนึ่งที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน สายตาจ้องไปยังร่างชายสามคนที่ยืนเต้นไปตามจังหวะเพลงบนเวทีที่มีแสงนวลฉายเรือง คนทั้งสามเกือบล่อนจ้อน มีเพียงกางเกงในเล็กจิ๋วปิดเอาสิ่งนั้นไว้ เพลงใกล้จบคนเหล่านั้นวิ่งกลับเข้าไปหลังม่านสีดำจากนั้นเพลงใหม่เริ่มแผดเสียงนักเต้นชุดใหม่พรวดร่างออกมาอย่างรวดเร็วพร้อมกับดิ้นกายไปตามเสียง บางครั้งเจ้าหนุ่มใช้มือเคล้นคลึงส่วนที่ถูกปิดเอาไว้จนมันชูชันออกมาอวด แล้วพากันโยกร่างไปมาเข้ากับจังหวะออกลวดลายเป็นลีลาท่าพิศวาส’’เชิญทางนี้ครับ’’ เสียงบริกรเข้ามาต้อนรับ เขาสะดุ้งเล็กน้อย พยายามรวบรวมสติเพื่อหาวิธีเริ่มต้นเพื่อให้เป็นไปตามจุดประสงค์แล้วเดินตามไปที่เก้าอี้ตรงหน้าเคาน์เตอร์ ‘’ต้องการเครื่องดื่มอะไรดีฮะ’’ เด็กหนุ่มก้มหน้าเข้ามาใกล้เพื่อให้ได้ยินเสียงพูดของเขา ‘’ขอเบียร์ครับ’’ เมื่อบริกรหนุ่มเอาแก้ววางลงบนกระดานรองแก้วแล้วจะละไปเขาจึงชิงพูดก่อน’’ขอถามอะไรหน่อยครับ คุณรู้จักอามที่เป็นนายแบบมันจะมากับผู้ชายเจ้าของร้านเสื้อผ้า ฮาร์วี่ มีคนบอกผมว่าเขามาที่นี่บ่อยๆ ‘’ เด็กหนุ่มยืนลังเลอยู่สักครู่หนึ่ง’’ ที่นีมีเพื่อนหลายคนที่อยากให้ความสุขและเป็นเพื่อนคุยให้หายเหงา คุณลองหาเพื่อนคุยสักคนซิครับผมจะบอกให้’’ เขาไม่ได้ปฏิเสธบริกรและรู้ได้ว่าเด็กหนุ่มไม่อยากเสียเวลาเพราะมีหน้าที่บริการคนอื่นรออยู่อีกมาก สักครู่มีผู้ชายใส่เสื้อคลุมสั้นปิดร่างเดินเข้ามาทักทายอย่างสนิทสนมจนทำให้เขาหายจากอาการหวั่นระแวงต่อบรรยากาศของสถานที่ ‘’สวัสดีครับ มานั่งตรงนี้ดีกว่าครับ ‘’ เขาเดินตามไปอย่างง่ายดาย ตรงโต๊ะที่จัดมุมไว้มุมห้อง ‘’พึ่งมาที่นี่หรือครับ’’ ผู้ชายหนุ่มคนนี้ยังชวนเขาคุยต่อและหยุดชั่วครู่เมื่อบริกรยกแก้วเบียร์และแก้วเครื่องดื่มตามมาวางให้คนทั้งสอง เขาพยักหน้าแทนคำพูด ‘’ราวๆ ดึกหน่อยทางบาร์จะเปิดวีดีโอให้ดูหนังชีวิตรักของเกย์ เป็นเรื่องราวของความสูขความสนุกสนานที่พวกเขาให้ชีวิตอย่างเสรี’’ เขาคิดว่าถึงเวลาที่จะเริ่มเรื่องของตนเสียที จึงพูดออกไปหลังจากที่ปล่อยผู้ชายคนนี้ให้คุยอยู่ตลอด ‘’ผมมาที่นี่เพราะว่าผมกำลังตามหาผู้ชายคนหนึ่งชื่ออาคม คุณคงรู้จักผมต้องการเจอเขามาก ถ้าคุณรู้ว่าจะพบได้ที่ไหนและมาที่นี่บ้างหรือไม่ ช่วยกรุณาบอกผมเถอะครับ’’ คำถามที่เขาพูดออกไปทำให้ผู้ชายที่นั่งอยู่ตรงหน้านิ่งเงียบไป ใบหน้าหล่อเหลานั้นสลดแสดงถึงความไม่แน่ใจในตัวแขกที่นั่งด้วย ‘’ผมดีใจที่คุณมานั่งคุยด้วยและขอบคุณที่คุณต้องการทำให้ผมสนุกสนาน แต่ผมต้องการเจอเพื่อนคนนี้ ผมรักเขามากและเสียใจอยู่ตลอดเวลาที่ไม่ได้พูดปรับความเข้าใจกันในเรื่องที่เกิดขึ้น’’ ‘’ ผมไม่เห็นเขามาที่นี่นานแล้ว พวกเราที่นี่ทุกคนรู้จักอาคมเพียงผิวเผินเท่านั้นไม่มีใครรู้เรื่องเขามากนัก เขาไม่ค่อยได้ยุ่งกับพวกเรานอกจากเจ้าของร้านเสื้อฮาร์วี่ พวกเราสนใจที่เคยเห็นรูปเขาในหนังสือนิตยสาร และรูปเปลือยของอาคมเคยมีติดอยู่ในบาร์ตอนนี้ถูกถอดออกไปแล้ว’’ ในความสลัวชายหนุ่มมองเห็นสายตาคนพูดฉายแววสมเพชในตัวเขาเห็นเป็นคนโง่คนหนึ่ง ‘’ คุณต้องเข้าใจ สภาพที่เห็นที่นี่มันอาจจะคล้ายคลึงกับเรื่องของคุณก็ได้ ผมจะบอกความจริงกับคุณว่า พวกเราทุกคนเมื่อพ้นม่านดำออกมาเรารู้ว่าเรากำลังขายหรือให้บริการความสุขความพอใจแก่แขกไม่ว่าเราจะอยู่ที่นี่หรือออกไปกับแขกเมื่อการแลกเปลี่ยนสิ้นสุดลงแล้ว พวกเราต้องกลับเข้าม่านดำอย่างเก่าไปมีชีวิตของเราความพอใจที่ตัวเองคิดแล้วแต่จะเลือก บางคนคิดว่าสิ่งที่พวกเราทำเดี๋ยวนี้คือสิ่งที่พวกเราต้องการมันไม่เสมอไปทุกคน ถ้าจะพูดว่าเป็นการหลอกหลวงนั้นไม่จริงเพราะการกระทำของพวกเราก็บอกแล้วว่าเป็นการแลกเปลี่ยน แขกที่มาบางคนอาจจะหวังหาความรักความจริงใจมันอาจยากกับขีวิตที่พวกเขาเป็นอยู่ไม่มีใครต้องการผูกมัดกับใครคนหนึ่งเพราะต่างคนก็ต้องการอนาคตที่ดีหลีกปัญหาจากสังคมภายนอกที่คอยจ้องเล่นงานอยู่ ผมเองเคยถูกคนทำอายไม่กล้าเปิดเผยสิ่งที่เขา เป็นโดยการเอาเงินมาล่อให้ไปอยู่กับเขาคนเดียว เพื่อต้องการของเขาไม่ว่าเขาจะพูดว่ารักได้หวานแค่ไหนแต่ผมรู้ดีว่าโกหก เขาต้องการแต่ว่าให้ผมช่วยปกปิดว่าเขาไม่ได้เป็นเช่นนี้เพื่อลวงสังคม ถ้าคุณเป็นเกย์และคิดว่ารักใครอยู่คุณลองถามตัวเองว่ายจริงหรือไม่หรือต้องการอะไร ถ้าคุณคิดว่าคุณมีความรักจริงๆแล้วค่อยตัดสินใจว่าทำอย่างไรให้มันสมกับความรัก ผมไม่ได้ดูถูกความรักของพวกเกย์ว่าไม่มีจริง แต่ผมเห็นมันน้อยเกินพวกเขาคิดแต่ว่าขอให้ชีวิตกามารมณ์ผ่านไปวันๆ หนึ่งเท่านั้นเอง’’ คำพูดยืดยาวที่ผู้ชายนั่งตรงหน้าอธิบายทำให้เขาน้ำตาลคลอหน่วยอยากจะร่ำไห้ออกมาด้วยความขมขื่น ชายหนุ่มพุ่งรู้ตัวเองว่า ความพยายามทั้งหมดที่อยากเจออาคมก็เพียงแต่กลัวว่าคนที่เขารักนั้นจะจากไปตลอด ความจริงที่ปวดร้าวใจการเสแสร้งแกล้งทำตลอดมามันได้เผยออกมาสิ่งที่เขาได้ลวงตัวเองและอาคมไว้ก็คือความเห็นแก่ตัวของเขานั่นเองที่ต้องการให้อาคมย่ำอยู่รอยเดิมก็เพื่อเขาจะได้ยึดเหนี่ยวสิ่งที่ตัวเองหลงใหลเอาไว้ ไม่ว่าความทุกข์ที่อาคมมีเท่าใดเพื่อนหนุ่มต้องกลับมาหาด้วยความคิดว่าเขาเป็นผู้ช่วยเหลือได้เป็นเพื่อนแท้คนเดียวที่มีความรักความบริสุทธิ์ใจให้ ความขลาดที่ซ่อนไว้ในจิตสำนึกนั้นเขาหวังว่าอาคมคงจะมองเห็นมันและยอมเป็นผู้เริ่มท่าทีก่อนที่จะให้สิ่งที่เขาปรารถนาความรู้สึกละอายใจที่รู้สำนึกถึงความตอแหลหลอกหลวงเพื่อหวังว่าสักวันหนึ่งจะได้แตะต้องโดยที่เขาคอยโอกาสที่อาคมพบความล้มเหลวแล้วก็จะพบว่าเหลือเขาเพียงคนเดียวยังต้องการเพื่อนหนุ่มอยู่ มันเป็นเกมที่เขาเล่นด้วยความสกปรกอยู่ฝ่ายเดียว และเมื่อมันจบลงอาคมพลาดมาเจอสิ่งว่างเปล่าของชีวิต หมดความหมายสำหรับคนที่เคยต้องการแล้ว เขาเองก็เป็นผู้แพ้ด้วยคุณค่าของมนุษย์ที่มีความรักต่อมนุษย์ด้วยกันเขาไม่เคยนึกถึง มัวแต่คำนึงแต่ตัณหาของตน พยายามไขว่คว้าเอามาให้ได้ด้วยเลห์มายา ก่อนที่จะจากสถานที่นั้นไปดวงตาเอ่คลอน้ำตาของเขามองดูสิ่งรอบกายด้วยสภาพพร่ามัวของผู้คนภายในแสงสีที่ดำเนินชีวิตบนเกมที่เล่น ตามแต่หนทางของแต่ละคนที่จะหาทางออกแก่ตนเอง สำหรับเขาเหลือแต่ความร้าวรานใจในความพ่ายแพ้ต่อความเขลาของตัวเอง ที่ไม่ได้ทำให้ความรักบริสุทธิ์ การเดินทางที่ยาวไกลบนเส้นทางของเพื่อนได้สิ้นสุดลง เขาได้ซมซานกลับมายังสถานที่เก่าของเขามันอยู่ไม่ห่างจากอาคารพักของชายหนุ่มเท่าใด บริเวณกว้างใหญ่ของสถานศึกษาแห่งนี้ตามใต้ถุนตึกและโคมไฟตามมุมถนนนเปิดไฟสว่างจ้า ถึงแม้ค่อนข้างดึกแล้วแต่คนหนุ่มสาวที่อยู่หอพักใกล้เคียงยังพากันมานั่งดูตำราอย่างเครำเคร่งโดยอาศัยแสงไฟเหล่านี้ มีทั้งเป็นกลุ่มหลายคน นั่งเป็นคู่บ้างไม่ก็นั่งอยู่โดดเดี่ยวกระจัดกระจายตามที่ๆมีแสงไฟ สภาพคนที่เห็นไม่แตกต่างจากตัวเขาเมื่อก่อนที่อาศัยแสงไฟดูตำราฝ่าฟันเอาชนะความอัตคัดขัดสนที่เป็นอุปสรรค แสงไฟสีเหลืองดุจประกายทองกระทบร่างผู้คน เหมือนจะฉายให้เห็นถึงความเพียรพยายามอันสูงสุดของพวกเขาให้ถึงความสำเร็จทั้งที่ความหวังภายหน้าเป็นแสงริบหรี่ ถึงเป็นภาพที่เขาเกิดความตื้นตันใจ แต่มันไม่ได้ช่วยเรียกพลังกายที่เหือดแห้งกลับคืนมา มันกลับเพิ่มความเปล่าเปลี่ยวใจมีแต่ความโดดเดี่ยวไร้สิ่งที่มีความหมายต่อชีวิตของเขา หรือสิ่งเหล่านี้เป็นภาพจอมปลอมเหมือนกัน ซอกมุมตึกที่เขาเคยใช้เป็นที่อ่านหนังสือไม่มีใครมาจับจองชายหนุ่มจึงเข้าไปพิงผนังหลับตาครุ่นคิดถึงสิ่งต่างในอดีตครั้งยังเป็นนักศึกษาที่นี้เองมันทำให้ได้เจออาคมผู้ที่ชอบมาแอบมานั่งนึกฝันถึงบางสิ่ง เขานึกถึงตัวเองกับอาคมมีความแตกต่างกันมากจนไม่น่าจะมาคบกันเป็นเพื่อนได้ไม่ว่ารสนิยมหรือความคิดเห็น ส่วนที่คล้ายกันคือการจากบ้านมาสู่กรุงเทพไม่สามารถหันหลังกลับไปอีกได้จะต้องเดินไปด้วยตัวเองไม่ว่าจะล้มหรือพบความสำเร็จและความเหงานี่เองที่ต่างคนต่างไม่มีเพื่อนคือสายสัมพันธ์ที่ให้กัน จนคบกันเป็นเพื่อน ที่นี่มันได้เป็นที่ห่อหุ้มปกปิดสิ่งที่เขาต้องการ ทำให้ชายหนุ่มรู้ซึ้งถึงการอดทนหล่อหลอมเป็นความขลาดกลัวทั้งๆที่เขาไม่เคยคิดว่ามันมีความหมายอะไรแก่ชีวิตเขาเลย อาคมเคยพูด เสมอว่าที่นี่ทำให้ชิวิตหดหู่ซังกะตาย ผลาญชีวิตไปอย่างเปล่าประโยชน์ แต่สำหรับพันธ์แล้วมันเหมือนที่ทำให้คุณมีพลังอดทนกับความหิวและความต้องการ ทั้งที่คุณกำลังอดโซแทบตายเขาเองได้แต่หัวเราะกับคำไร้สาระของเพื่อนหนุ่ม ชายหนุ่มลืมตาขึ้นจากการหวนคิดเรื่องที่เป็นความปวดร้าวเมื่อนึกถึง เขารู้สึกเหมือนมีบางสิ่งในความมือกำลังจ้องมองอากัปกิริยาชายหนุ่มอยู่ ตรงซุ้มม้านั่งที่มีกอไม้ปกคลุมแน่น ห่างจากที่นั่งของเขาไปไม่ไกล ความกลัวทำให้ขนลุกซุ่ขึ้นมาจึงขยับตัวตรงจ้องมองนิ่งเข้าไป ร่างนั้นขยับลุกขึ้นเมื่อรู้ว่าคนที่ถูกจ้องรู้ตัวแล้วค่อยๆเดินๆเดินตรงมา จนถึงในระยะแสงไฟส่องถึงเผยให้เห็นส่วนสัดสมส่วนสง่างาม ใบหน้าอิดโรยแต่คงความหล่องดงามเฉยเมย ดวงตาสงบนิ่งจับจ้องตาเขา ชายหนุ่มนิ่งอึ้งมองตอบเพื่อนหนุ่มตาไม่กระพริบคาดไม่ถึงว่าจะเจอกันอีกตกใจราวกับถูกปีศาจหลอกหลอนเอา ‘’ มีคนบอกว่าพันธุ์ต้องการเจอผมอีก ผมไปหาคุณที่ห้องไม่เจอคิดว่าคุณต้องมาที่นี่จึงมาคอย ‘’ น้ำเสียงของอาคมราบเรียบไม่ได้แสดงความรู้สึกอะไรออกมา’’ ใช่ผมต้องการเจอคม ผมขอโทษและเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น’’ เมื่อได้สติชายหนุ่มจึงพูดออกไปอย่างตะกุกตะกักคล้ายกับเสียงร่ำไห้มากกว่าดวงตาอาบไปด้วยน้ำตา ภาพชายตรงหน้าเลือนไปหมดจนเขากลัวว่าสิ่งที่เห็นเป็นภาพลวง ‘’พันธ์มาขอโทษเสียใจอะไรกัน ผมเสียอีกเป็นฝ่ายขอโทษคุณที่มากวนให้ลำบากไปด้วย’’ เสียงพูดแฝงไปด้วยความน้อยใจของอาคมทำให้เขารู้ว่าสิ่งที่เห็นและได้ยินไม่ใช่สิ่งลวงเป็นความจริง ‘’ผมฟังผม ผมต้องขอโทษคุณจริงๆ ผมอยากให้รู้สิ่งที่ผมมีความคิดชั่วต่อคุณ ถึงคุณจะเกลียดผมมากแต่ผมต้องพูดความจริง คมไม่คเยมองผมว่าเป็นอย่างไรเหมือนคนที่คุณเคยเจอบ้างหรือไม่ ผมเป็นเช่นนั้นไม่แตกต่างผมต้องการคุณ ผมรักคุณมากกว่าความเป็นเพื่อน ผมต้องการฉุดคุณเป็นอยู่อย่างเก่าเพื่อที่คุณจะหันมามองผมและรู้ความต้องการที่แท้จริงแล้วให้สิ่งนั้นแก่ผม’’ เขาลุกขึ้นเดินตรงไปข้างหน้าที่เห็นร่างพร่าๆ ของอาคมเขาไม่สามารถรู้ได้ว่าท่าทางของอาคมที่แสดงต่อตัวเขาเป็นประการใด หรือมีความชิงชังเพียงใด ก้าวเท้าเดินไปอย่างไม่มั่นใจเหมือนนักโทษที่เข้าหลักประหาร’’ จริงๆแล้วผมอยากบอกคุณว่าถ้าตั้งต้นใหม่นั้นทำได้ถ้าคุณให้โอกาสแก่ตัวเอง ผมเองให้โอกาสแก่ตัวเองมาก ให้โอกาสแล้วให้โอกาสเล่าผมถึงได้เดินทางถึงจุดหมายและไม่เคยคิดว่าสายถ้าต้องการทำผมยอมรับว่าผมไม่ได้มีความบริสุทธิ์ใจต่อคุณถ้าคุณต้องการในสิ่งที่คุณอยากทำผมจะไม่ขัดขวางผมขอลบล้างความชั่วนี้ถ้าคุณยังอยากให้ผมช่วยอยู่อีก ผมอยากเป็นเพื่อนคุณอย่างเก่า ผมอายจริงๆที่จะพูดคำนี้ ผมรักคุณมาก’’ ไม่มีเสียงตอบต่อคำพูด เขารู้สึกเจ็บแปลบต่ออาการนิ่งเฉยไร้วิญญาณของอาคมชายหนุ่มยอมรับว่า มันสาสมแล้วกับความเลวที่ได้กระทำ เขาคว้าร่างตรงหน้าราวกับว่ากลัวมันอันตรธานหาย เขากอดร่างกายอาคมไว้แน่นไม่มีปฏิกิริยาใดทั้งสิ้น นอกจากเสียงรัวการเต้นของหัวใจของเพื่อนหนุ่ม เนื้อตัวและกลิ่นกายของอาคมเขาสัมผัสและสูดดมอย่างกระหาย เขาเหมือนหมดแรงค่อยๆรูดโรยตัวคุกเข่ากับพื้นหน้าแนบอยู่ระหว่างต้นขาทั้งสองและแขนโอบรัดสะโพกของอาคมไว้แน่นไม่ยอมที่จะให้ขยับหลุดไป ร่างนั้นยังนิ่งอยู่อีกไม่ตอบโต้การกระทำของเขา ‘’ ถ้าคมจะผลกไสผมออกไป ผมขอเพียงให้คุณยกโทษที่ทำเช่นนี้และสัญญาว่าจะไม่แตะต้องอีกเลย’’ แขนของอาคมเริ่มเคลื่อนไหวแล้วเลื่อนมาจับที่บ่า เขาซบหน้านิ่งหลับตาแน่นคอยเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น มันเหมือนกับนักโทษที่มองเห็นเพชฌเงื้อดาบขึ้นฟัน ฝ่ามือของอาคมลูบต้นคอชายหนุ่มอย่างเบาๆ เหมือนกำลังปลอบขวัญที่กระเจิงแล้วใช้แขนโอบกระหวัดศรีษะและช่วงตัวไว้แน่นเหมือนกลัวจะหลุดหายออกไปเช่นกัน มันคล้ายมีความอบอุ่นแผ่ให้ซึ่งกันและกัน จนอยากให้เวลานั้นหยุดนิ่งชั่วนิรันดร์….

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น