คนกำลังแพ้…เขาท้อถอนลมหายใจออกมาอย่างแรงราวกับว่ามันอัดเสียดแน่นอยู่ในกาย
แสงรำไรยามเย็นอ่อนแสงลงเป็นความครื้มสลัวทุกอย่างที่มองเห็นมัวหม่น
อึดไม่ช้าก็จะเลือนไปกับความมืดและประกาศแสงไฟส่องเรืองจะมาแทนที่
เวลากลางวันที่ผ่านไปรวดเร็ว ราวกับว่าไม่ได้ทำสิ่งใดในช่วงนั้นเลย
ชายหนุ่มเดินครุ่นคิดด้วยความมึนล้าในสมอง
เขาทอดสายตามองไปบนท้องถนนท่ว่างจากรถราชั่วครู่หนึ่งก่อนที่จะพากันบึ่งแล่นผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ก้าวเท้าที่ย้ำลดความเร็วลงด้วยความเมื่อยล้าเกาะกุมทุกเส้นเอ็น
เขานึกทบทวนอยู่ในใจว่าวันนี้ได้เสาะหาไปที่ไหนบ้างก็ดูสับสนไปหมด
พอแล้วหรือยังกับความพยายามทำที่จะยอมแพ้กับมันทนได้ไหมกับการไม่ได้คุยไม่ได้ทำความเข้าใจกัน
มันไม่ใช่เรื่องใหญ่เลยแต่ทำไมช่างทุกข์ทรมานเช่นนี้ ‘’ ผมไม่รู้ว่าคุณมีเรื่องไม่สบายใจอะไร ดูคุณเหม่อยลอยตลอดเวลา
การลาพักร้อนครั้งนี้คงช่วยคุณบ้างนะ’’ เขานึกถึงคำพูดของเจ้านายตอนยื่นใบลาพัก
ถ้าวันนี้ไม่เป็นไปตามที่หวังสภาพคงแย่กว่าเดิมมาก
สามวันที่ผ่านไม่มีอะไรดีขึ้นเลยนอกจากเหนื่อยเพลียทั้งกายใจ พรุ่งนี้
จะทำงานได้อย่างไรในเมื่อสภาพจิตใจยังมีแต่ความว้าวุ่น
อุตส่าห์ลำบากติดตามหาจะล้มเลิกไปเสียดูจะเป็นการสูญเปล่าอย่างมากและไม่มีทางช่วยให้พ้นความเศร้าหมองนี้มันต้องเป็นทุกข์ไปตลอดที่ไม่ได้แก้ไขอะไรเลย
เท้าที่ก้าวไปแต่ละก้าวบนทาทวิถีเหมือนไม่ได้เตะพื้นเลยมันเบาโหวงมีแต่สมองเท่านั้น
ที่ยังสั่งให้หยุดไม่ได้ เขาคิดแล้วคิดอีกว่าจะไปไหน
จะต้องทำอย่างไรอีกบ้างพอจะช่วยได้
แสงตามไฟจากโคมไฟข้างทางที่ส่องสลัวนวลบนทางเท้าเป็นความสว่างเท่านั้นที่บอกทางไป
ดวงตาพร่าพรายกับไฟหน้ารถยนต์ที่แล่นสวน เสียงต่างๆ
ไม่ว่าเสียงเครื่องยนต์ที่แล่นสวนเสียงต่างๆ
ไม่ว่าเสียงเครื่องยนต์ดังอื้ออึงอยู่ในสมอง
ภาพผู้คนที่มองเห็นมันบางเบารางเลือนคล้ายเงา
ผ่านแนวกำแพงรั้วทึบจนถึงตู้โทรศัพท์ฝาผนังกระจกแตกร้าวสะดุดตากับแสงสว่างสีน้ำเงินใส
เขาหยุดหันไปเพ่งมองแล้วก้าวเข้าไปยกหูโทรศัพท์หยอดเศษเหรียญมันใช้การได้มีสัญญาณให้หมุนเรียกสาย’’สวัสดีครับ’’ เขารีบกรอกเสียงเมื่อได้ยินคนทางโน้นรับสาย ‘’ ตุ้มใช่ไหมครับ ผมพันธ์นะคับ อยากรู้ว่าคมไปที่นั่นรึเปล่า’’ เขาวางหูโทรศัพท์อย่างสิ้นแรงเมื่อฟังคำพูดโต้กลับมาและคำขอบคุณจากปากแทบไม่เป็นเสียงก่อนยุติการสนทนาเพราะคำที่ได้ยินว่าไม่รู้ไม่เจอตอบอย่างไม่ใยดี
ฟังเสียงจนบาดเข้าไปถึงขั้วหัวใจ
สายตาที่มีแววผิดหวังของชายหนุ่มอึ้งงงจ้องมองกำแพงที่มีเถาตีนตุ๊กแกเกาะเป็นพืดหนาต้องกระทบแสงไฟมองเห็นเป็นฉากดำ
แล้วเดินไปยังม้าหินซ่อนดำตะคุ่มอยู่ในความมืดของเงาไม้
เขาทรุดลงนั่งอย่างหมดแรงยึดขาออกไปปล่อยใจลอยหาหนทางอย่างไม่ยอมแพ้
สายลมโชยพัดหอบเอากลิ่นควันจากท่อไอเสียรถมารุ่นรมอยู่รอบตัว …คนกำลังแท้…เขาทอดถอนลมหายใจออกมาอย่างแรงราวกับว่ามันอัดเสียแน่นอยู่ภายในกาย
ถึงเวลานี้เขาเองเริ่มเข้าใจหายจากความงุงงงต่อเรื่องที่เกิดขึ้นและพยายามทวนลำดับเหตุการณ์
จำได้ว่าเช้าวันนั้น สายเนือยๆ
ของเพื่อนจับจ้องตัวเขาที่กำลังจะออกไปทำงานชายหนุ่มเพิ่งสังเกตเห็นหน้าตาของอาคมหมองทรุดโทรมอย่างคนเป็นทุกข็หนักด้วยผิดหวังรุนแรงบางอย่าง
เขาไม่อาจรู้ตัวได้เลยว่าท่าทางหรือหน้าตาเมื่อหันไปมองอาคมแสดงออกไปอย่างไร
แต่สายตาของเพื่อนกลับฉายความชอกช้ำเพิ่มขึ้นอีกโต้กลับมา
เขาคิดอยู่ในใจด้วยความสมเพช ชายหนุ่มเสเพลกำลังรู้สำนึก เลิกหลงเตลิดอยู่กับ
เรือนร่างและหน้าสตางดงามที่คิดว่าสวรรค์มอบให้มาเพื่อที่ใช้ประโยชน์จากมันให้ได้มาซึ่งสิ่งต้องการตลอดเวลาอาคมไม่เคยสนใจอะไรเลยนอกจากตัวเองเป็นเทพบุตรหลงเงาใจแตกหาแต่วัตถุมาบำรุงบำเรอตนอย่างไม่เพียงพอ
เขารู้อยู่แก่ใจดีว่าทางเดินของอาคมเป็นรูปเงามายาลวงหาความจริงใจแก่กันไม่ได้มีแต่หวังประโยชน์จากกันและกัน
เมื่อหมดประโยชน์ที่จะขายกันได้อีกแล้วก็ทอดทิ้งให้หลงทางตอนนี้เพื่อนหนุ่มได้กลับมาหาเขาเพื่อหวังจะช่วยให้เริ่มต้นใหม่พ้นทางเดินสายเก่า
โดยที่จะได้รับความจริงใจความเป็นมิตรอย่างแท้จริงจากตัวชายหนุ่มแต่เขากลับชี้ให้เห็นดีในวิถีเก่าของอาคมไม่ยอมให้ถอนตัวออกมาโดยไม่สนใจต่อความรู้สึกของเพื่อนหนุ่ม
ชายหนุ่มหยุดคิดเพ่งมองหน้าเพื่อนที่มีแต่ความรวดร้าว สันจมูกโด่งของอาคมทำให้กรอบตากลวงลึกเน้นดวงตาเหนื่อยล้ายิ่งขึ้นเหลือบหลุบสายตาของเขาที่จ้อง
ตอนเช้าเวลาจะออกไปทำงานมันเป็นเวลาที่เขามีอารมณ์ขุ่นมัว
รู้สึกรำคาญและเบื่อหน่าย
ชายหนุ่มพยายามนิ่งสงบใจก่อนพูดยืนยันความคิดเดิมของตัวเอง ‘’ … ถ้าเรียนหนังสือใหม่หรือไม่เรียนมันมีค่าเท่าเดิม
เพราะเรียนจบออกมามันก็ต้องตกงานถ้าอยากเรียนจริงๆ
น่าจะพยายามเสียแต่ตอนแรกไม่ควรปล่อยให้มันเสียไป
แล้วมาเริ่มต้นใหม่อายุพวกเราไม่ใช่ สิบเก้า ยี่สิบปี แต่จวนจะยี่สิบห้าไปแล้ว’’ ‘’… อาจจริงที่พูดแล้วพันธ์จะให้ผมทำอย่างไรอยากรู้…’’ ‘’ …คมทำอย่างไรมาก็ต้องไปตามนั้น
ไปหาตุ้มที่ร้านให้เขาช่วยหาเงินเกี่ยวกับนายแบบอย่างเก่าแล้วพยายามทำให้ดีถ้าตั้งใจจริงแล้วต้องพบความสำเร็จ…’’ คำตอบของเขาทำให้เพื่อนหนุ่มแสดงทีท่าไม่พอใจ
พูดโต้กลับด้วยเสียงขุ่น เคือง ‘’….ไม่ ไม่มีที่ไหนเขาต้องการผมอีกแล้วและผมก็ไม่ต้องการมันด้วย
ถ้างั้นไม่เสียเวลามาที่นี่พูดกับพันธ์หรอก…’’ ‘’…คิดดูให้ดี
ที่กรุงเทพมีอะไรเหลือให้กับคนหนุ่มสาวอีก
งานสำหรับคนที่เรียนจบไม่มีเหลือให้อีกแล้ว
งานเก่าที่ทำมันทำให้คนมีเงินมากใช้ชีวิตฟุ้งเฟ้ออยู่อย่างหรูหรา
ถ้าไม่ต้องการมันก็กลับไปบ้านที่เริ่มต้นที่ที่นั่นดีกว่าอยู่ที่นี่อย่างเคว้งคว้างไม่ได้อะไรเลย…’’ ถ้อยคำของเขายิ่งพูดราวกับจะทำให้อาคมเสียจิตใจ
ท่าทางแสดงออกถึงความขุ่นเคืองความสุภาพอ่อนโยนที่เป็นลักษณะเดิมของเพื่อนหนุ่มหมดไปเหลือแต่ความเกรีย้วกราด
ชายหนุ่มมองอาการเหล่านั้นของอาคมว่าเป็นท่าทางของเด็กที่กำลังเอาใจตัวเอง ‘’…ผมมันโง่ที่ยังหลงคิดว่าตัวเองมีเพื่อนรักที่ยังห่วงใยพอที่จะให้กำลังใจให้ความหวังช่วยเหลือที่จะต่อสู้กับชีวิตที่เหลวแหลกมาแล้วได้ตั้งตัวใหม่อีก
ผมไม่มีเพื่อนเลยเจอแต่คนลวงมาตลอดแม้แต่คนที่ศรัทธาอย่างพันธ์ยังผลักไสไล่ให้ไปลงนรก
ผมไม่น่ากลับมาหาพันธ์อีกเลยทำให้ความรู้สึกที่ดีหมดไปพอทีสำหรับทุกอย่าง
ขอบใจมากนะที่ให้ที่ชุกหัวนอนมาหลายวัน…’’ เสียงพูดของอาคมเต็มไปด้วยความขมขื่น
เขาตลึงงันทำอะไรไม่ถูกได้แต่นิ่งเงียบด้วยความเสียใจกับการกระทำของตน
ที่ทำให้เรื่องจบด้วยความเลวร้าย เขาเห็นร่างเพื่อนผลุนผลันเดินออกไปจากห้องพักอย่างรวดเร็วสมองของชายหนุ่มปวดร้าวแทบระเบิดออกมาไม่สามารถยับยั้งเพื่อนไว้ได้
สายลมกระพือพัดมาต้องใบหน้าชายหนุ่มให้ตื่นจากการหวนทบทวนเรื่องราวทั้งหมด-เพื่อน-
เขานึกถึงคำนี้แล้วเหมือนโดนของมีคมเชือดเฉือนใจ เพราะความอาทรที่สำนึกภายในใจของเขาซึ่งได้ซ่อนเอาไว้ด้วยความอายอย่างลึกลับมีความรู้สึกต่อเทพบุตรรูปงามตนนี้อย่างไร
ชายหนุ่มหยุดความคิดฟุ้งซ่อนในมุมมืด มันทำให้เกิดความรู้สึกเดียวดาย
จิตใจเลื่อนลอยอย่างคนบ้าที่ถูกทอดทิ้ง
และเป็นวิธีสุดท้ายสำหรับคนสิ้นหวังเท่านั้น เขาไม่ยอมล้มลงตรงนี้ตั้งใจแน่วแน่ยืนขึ้นเมื่อความเมื่อยล้าหายไป
ไปสู่สถานที่คาดว่าจะเจอะเจอจากตรงนั้นผ่านแมกไม้ใบบางมองทะลุลอดออกไปเห็นแสงไฟเปิดสว่างของกลุ่มตึกสูงเบื้องหน้า
มันเป็นซอยที่มีแสงนีออนจากตึกแถวสองฝากฉายแสงกระพริบหลากหลายสีดูสดสวยหลอกล่อเย้ายวนใจ
ถ้าผู้ที่หลงทางมาในเวลาค่ำคืนพบเห็นจะหลงใหลในความงดงามและชื่นชมกับความสว่างเพียงแสงริบหรี่ที่ไม่ได้ส่องให้เห็นภาพที่แท้จริง
เขาเดินเข้าไปแสงไฟจากถนนใหญ่ส่องสาดผ่านด้านหลังเกิดเงายางทาบไปเบื้องหน้าแล้วถูกกลืนหายไปกับความสว่างรางๆรอบกาย
เขามองผ่านชื่อสถานที่ซึ่งคนที่รู้จักได้บอกให้มา
ซึ่งอาจเจออาคมหรือสอบถามหาตัวเพื่อนหนุ่มได้
ชายหนุ่มไม่รอช้ารีบเปิดประตูเดินเข้าไปภายในสายตาแปลบกันแสงวูบวาบสลับกับความมืดและเสียงกระหึ่มของดนตรีจังหวะเร่าร้อน
ชายหนุ่มตลึงเหมือนคนพลัดหลงไปยังอีกโลกหนึ่งที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน สายตาจ้องไปยังร่างชายสามคนที่ยืนเต้นไปตามจังหวะเพลงบนเวทีที่มีแสงนวลฉายเรือง
คนทั้งสามเกือบล่อนจ้อน มีเพียงกางเกงในเล็กจิ๋วปิดเอาสิ่งนั้นไว้
เพลงใกล้จบคนเหล่านั้นวิ่งกลับเข้าไปหลังม่านสีดำจากนั้นเพลงใหม่เริ่มแผดเสียงนักเต้นชุดใหม่พรวดร่างออกมาอย่างรวดเร็วพร้อมกับดิ้นกายไปตามเสียง
บางครั้งเจ้าหนุ่มใช้มือเคล้นคลึงส่วนที่ถูกปิดเอาไว้จนมันชูชันออกมาอวด
แล้วพากันโยกร่างไปมาเข้ากับจังหวะออกลวดลายเป็นลีลาท่าพิศวาส’’เชิญทางนี้ครับ’’ เสียงบริกรเข้ามาต้อนรับ เขาสะดุ้งเล็กน้อย
พยายามรวบรวมสติเพื่อหาวิธีเริ่มต้นเพื่อให้เป็นไปตามจุดประสงค์แล้วเดินตามไปที่เก้าอี้ตรงหน้าเคาน์เตอร์
‘’ต้องการเครื่องดื่มอะไรดีฮะ’’ เด็กหนุ่มก้มหน้าเข้ามาใกล้เพื่อให้ได้ยินเสียงพูดของเขา ‘’ขอเบียร์ครับ’’ เมื่อบริกรหนุ่มเอาแก้ววางลงบนกระดานรองแก้วแล้วจะละไปเขาจึงชิงพูดก่อน’’ขอถามอะไรหน่อยครับ
คุณรู้จักอามที่เป็นนายแบบมันจะมากับผู้ชายเจ้าของร้านเสื้อผ้า ฮาร์วี่
มีคนบอกผมว่าเขามาที่นี่บ่อยๆ ‘’ เด็กหนุ่มยืนลังเลอยู่สักครู่หนึ่ง’’ ที่นีมีเพื่อนหลายคนที่อยากให้ความสุขและเป็นเพื่อนคุยให้หายเหงา
คุณลองหาเพื่อนคุยสักคนซิครับผมจะบอกให้’’ เขาไม่ได้ปฏิเสธบริกรและรู้ได้ว่าเด็กหนุ่มไม่อยากเสียเวลาเพราะมีหน้าที่บริการคนอื่นรออยู่อีกมาก
สักครู่มีผู้ชายใส่เสื้อคลุมสั้นปิดร่างเดินเข้ามาทักทายอย่างสนิทสนมจนทำให้เขาหายจากอาการหวั่นระแวงต่อบรรยากาศของสถานที่
‘’สวัสดีครับ
มานั่งตรงนี้ดีกว่าครับ ‘’ เขาเดินตามไปอย่างง่ายดาย ตรงโต๊ะที่จัดมุมไว้มุมห้อง ‘’พึ่งมาที่นี่หรือครับ’’ ผู้ชายหนุ่มคนนี้ยังชวนเขาคุยต่อและหยุดชั่วครู่เมื่อบริกรยกแก้วเบียร์และแก้วเครื่องดื่มตามมาวางให้คนทั้งสอง
เขาพยักหน้าแทนคำพูด ‘’ราวๆ ดึกหน่อยทางบาร์จะเปิดวีดีโอให้ดูหนังชีวิตรักของเกย์
เป็นเรื่องราวของความสูขความสนุกสนานที่พวกเขาให้ชีวิตอย่างเสรี’’ เขาคิดว่าถึงเวลาที่จะเริ่มเรื่องของตนเสียที
จึงพูดออกไปหลังจากที่ปล่อยผู้ชายคนนี้ให้คุยอยู่ตลอด ‘’ผมมาที่นี่เพราะว่าผมกำลังตามหาผู้ชายคนหนึ่งชื่ออาคม
คุณคงรู้จักผมต้องการเจอเขามาก ถ้าคุณรู้ว่าจะพบได้ที่ไหนและมาที่นี่บ้างหรือไม่
ช่วยกรุณาบอกผมเถอะครับ’’ คำถามที่เขาพูดออกไปทำให้ผู้ชายที่นั่งอยู่ตรงหน้านิ่งเงียบไป
ใบหน้าหล่อเหลานั้นสลดแสดงถึงความไม่แน่ใจในตัวแขกที่นั่งด้วย ‘’ผมดีใจที่คุณมานั่งคุยด้วยและขอบคุณที่คุณต้องการทำให้ผมสนุกสนาน
แต่ผมต้องการเจอเพื่อนคนนี้ ผมรักเขามากและเสียใจอยู่ตลอดเวลาที่ไม่ได้พูดปรับความเข้าใจกันในเรื่องที่เกิดขึ้น’’ ‘’ ผมไม่เห็นเขามาที่นี่นานแล้ว
พวกเราที่นี่ทุกคนรู้จักอาคมเพียงผิวเผินเท่านั้นไม่มีใครรู้เรื่องเขามากนัก
เขาไม่ค่อยได้ยุ่งกับพวกเรานอกจากเจ้าของร้านเสื้อฮาร์วี่ พวกเราสนใจที่เคยเห็นรูปเขาในหนังสือนิตยสาร
และรูปเปลือยของอาคมเคยมีติดอยู่ในบาร์ตอนนี้ถูกถอดออกไปแล้ว’’ ในความสลัวชายหนุ่มมองเห็นสายตาคนพูดฉายแววสมเพชในตัวเขาเห็นเป็นคนโง่คนหนึ่ง
‘’ คุณต้องเข้าใจ
สภาพที่เห็นที่นี่มันอาจจะคล้ายคลึงกับเรื่องของคุณก็ได้ ผมจะบอกความจริงกับคุณว่า
พวกเราทุกคนเมื่อพ้นม่านดำออกมาเรารู้ว่าเรากำลังขายหรือให้บริการความสุขความพอใจแก่แขกไม่ว่าเราจะอยู่ที่นี่หรือออกไปกับแขกเมื่อการแลกเปลี่ยนสิ้นสุดลงแล้ว
พวกเราต้องกลับเข้าม่านดำอย่างเก่าไปมีชีวิตของเราความพอใจที่ตัวเองคิดแล้วแต่จะเลือก
บางคนคิดว่าสิ่งที่พวกเราทำเดี๋ยวนี้คือสิ่งที่พวกเราต้องการมันไม่เสมอไปทุกคน
ถ้าจะพูดว่าเป็นการหลอกหลวงนั้นไม่จริงเพราะการกระทำของพวกเราก็บอกแล้วว่าเป็นการแลกเปลี่ยน
แขกที่มาบางคนอาจจะหวังหาความรักความจริงใจมันอาจยากกับขีวิตที่พวกเขาเป็นอยู่ไม่มีใครต้องการผูกมัดกับใครคนหนึ่งเพราะต่างคนก็ต้องการอนาคตที่ดีหลีกปัญหาจากสังคมภายนอกที่คอยจ้องเล่นงานอยู่
ผมเองเคยถูกคนทำอายไม่กล้าเปิดเผยสิ่งที่เขา
เป็นโดยการเอาเงินมาล่อให้ไปอยู่กับเขาคนเดียว
เพื่อต้องการของเขาไม่ว่าเขาจะพูดว่ารักได้หวานแค่ไหนแต่ผมรู้ดีว่าโกหก
เขาต้องการแต่ว่าให้ผมช่วยปกปิดว่าเขาไม่ได้เป็นเช่นนี้เพื่อลวงสังคม
ถ้าคุณเป็นเกย์และคิดว่ารักใครอยู่คุณลองถามตัวเองว่ายจริงหรือไม่หรือต้องการอะไร
ถ้าคุณคิดว่าคุณมีความรักจริงๆแล้วค่อยตัดสินใจว่าทำอย่างไรให้มันสมกับความรัก
ผมไม่ได้ดูถูกความรักของพวกเกย์ว่าไม่มีจริง แต่ผมเห็นมันน้อยเกินพวกเขาคิดแต่ว่าขอให้ชีวิตกามารมณ์ผ่านไปวันๆ
หนึ่งเท่านั้นเอง’’ คำพูดยืดยาวที่ผู้ชายนั่งตรงหน้าอธิบายทำให้เขาน้ำตาลคลอหน่วยอยากจะร่ำไห้ออกมาด้วยความขมขื่น
ชายหนุ่มพุ่งรู้ตัวเองว่า
ความพยายามทั้งหมดที่อยากเจออาคมก็เพียงแต่กลัวว่าคนที่เขารักนั้นจะจากไปตลอด
ความจริงที่ปวดร้าวใจการเสแสร้งแกล้งทำตลอดมามันได้เผยออกมาสิ่งที่เขาได้ลวงตัวเองและอาคมไว้ก็คือความเห็นแก่ตัวของเขานั่นเองที่ต้องการให้อาคมย่ำอยู่รอยเดิมก็เพื่อเขาจะได้ยึดเหนี่ยวสิ่งที่ตัวเองหลงใหลเอาไว้
ไม่ว่าความทุกข์ที่อาคมมีเท่าใดเพื่อนหนุ่มต้องกลับมาหาด้วยความคิดว่าเขาเป็นผู้ช่วยเหลือได้เป็นเพื่อนแท้คนเดียวที่มีความรักความบริสุทธิ์ใจให้
ความขลาดที่ซ่อนไว้ในจิตสำนึกนั้นเขาหวังว่าอาคมคงจะมองเห็นมันและยอมเป็นผู้เริ่มท่าทีก่อนที่จะให้สิ่งที่เขาปรารถนาความรู้สึกละอายใจที่รู้สำนึกถึงความตอแหลหลอกหลวงเพื่อหวังว่าสักวันหนึ่งจะได้แตะต้องโดยที่เขาคอยโอกาสที่อาคมพบความล้มเหลวแล้วก็จะพบว่าเหลือเขาเพียงคนเดียวยังต้องการเพื่อนหนุ่มอยู่
มันเป็นเกมที่เขาเล่นด้วยความสกปรกอยู่ฝ่ายเดียว
และเมื่อมันจบลงอาคมพลาดมาเจอสิ่งว่างเปล่าของชีวิต
หมดความหมายสำหรับคนที่เคยต้องการแล้ว
เขาเองก็เป็นผู้แพ้ด้วยคุณค่าของมนุษย์ที่มีความรักต่อมนุษย์ด้วยกันเขาไม่เคยนึกถึง
มัวแต่คำนึงแต่ตัณหาของตน พยายามไขว่คว้าเอามาให้ได้ด้วยเลห์มายา
ก่อนที่จะจากสถานที่นั้นไปดวงตาเอ่คลอน้ำตาของเขามองดูสิ่งรอบกายด้วยสภาพพร่ามัวของผู้คนภายในแสงสีที่ดำเนินชีวิตบนเกมที่เล่น
ตามแต่หนทางของแต่ละคนที่จะหาทางออกแก่ตนเอง
สำหรับเขาเหลือแต่ความร้าวรานใจในความพ่ายแพ้ต่อความเขลาของตัวเอง
ที่ไม่ได้ทำให้ความรักบริสุทธิ์
การเดินทางที่ยาวไกลบนเส้นทางของเพื่อนได้สิ้นสุดลง
เขาได้ซมซานกลับมายังสถานที่เก่าของเขามันอยู่ไม่ห่างจากอาคารพักของชายหนุ่มเท่าใด
บริเวณกว้างใหญ่ของสถานศึกษาแห่งนี้ตามใต้ถุนตึกและโคมไฟตามมุมถนนนเปิดไฟสว่างจ้า
ถึงแม้ค่อนข้างดึกแล้วแต่คนหนุ่มสาวที่อยู่หอพักใกล้เคียงยังพากันมานั่งดูตำราอย่างเครำเคร่งโดยอาศัยแสงไฟเหล่านี้
มีทั้งเป็นกลุ่มหลายคน นั่งเป็นคู่บ้างไม่ก็นั่งอยู่โดดเดี่ยวกระจัดกระจายตามที่ๆมีแสงไฟ
สภาพคนที่เห็นไม่แตกต่างจากตัวเขาเมื่อก่อนที่อาศัยแสงไฟดูตำราฝ่าฟันเอาชนะความอัตคัดขัดสนที่เป็นอุปสรรค
แสงไฟสีเหลืองดุจประกายทองกระทบร่างผู้คน
เหมือนจะฉายให้เห็นถึงความเพียรพยายามอันสูงสุดของพวกเขาให้ถึงความสำเร็จทั้งที่ความหวังภายหน้าเป็นแสงริบหรี่
ถึงเป็นภาพที่เขาเกิดความตื้นตันใจ
แต่มันไม่ได้ช่วยเรียกพลังกายที่เหือดแห้งกลับคืนมา
มันกลับเพิ่มความเปล่าเปลี่ยวใจมีแต่ความโดดเดี่ยวไร้สิ่งที่มีความหมายต่อชีวิตของเขา
หรือสิ่งเหล่านี้เป็นภาพจอมปลอมเหมือนกัน ซอกมุมตึกที่เขาเคยใช้เป็นที่อ่านหนังสือไม่มีใครมาจับจองชายหนุ่มจึงเข้าไปพิงผนังหลับตาครุ่นคิดถึงสิ่งต่างในอดีตครั้งยังเป็นนักศึกษาที่นี้เองมันทำให้ได้เจออาคมผู้ที่ชอบมาแอบมานั่งนึกฝันถึงบางสิ่ง
เขานึกถึงตัวเองกับอาคมมีความแตกต่างกันมากจนไม่น่าจะมาคบกันเป็นเพื่อนได้ไม่ว่ารสนิยมหรือความคิดเห็น
ส่วนที่คล้ายกันคือการจากบ้านมาสู่กรุงเทพไม่สามารถหันหลังกลับไปอีกได้จะต้องเดินไปด้วยตัวเองไม่ว่าจะล้มหรือพบความสำเร็จและความเหงานี่เองที่ต่างคนต่างไม่มีเพื่อนคือสายสัมพันธ์ที่ให้กัน
จนคบกันเป็นเพื่อน ที่นี่มันได้เป็นที่ห่อหุ้มปกปิดสิ่งที่เขาต้องการ
ทำให้ชายหนุ่มรู้ซึ้งถึงการอดทนหล่อหลอมเป็นความขลาดกลัวทั้งๆที่เขาไม่เคยคิดว่ามันมีความหมายอะไรแก่ชีวิตเขาเลย
อาคมเคยพูด เสมอว่า…ที่นี่ทำให้ชิวิตหดหู่ซังกะตาย ผลาญชีวิตไปอย่างเปล่าประโยชน์
แต่สำหรับพันธ์แล้วมันเหมือนที่ทำให้คุณมีพลังอดทนกับความหิวและความต้องการ
ทั้งที่คุณกำลังอดโซแทบตาย…เขาเองได้แต่หัวเราะกับคำไร้สาระของเพื่อนหนุ่ม
ชายหนุ่มลืมตาขึ้นจากการหวนคิดเรื่องที่เป็นความปวดร้าวเมื่อนึกถึง
เขารู้สึกเหมือนมีบางสิ่งในความมือกำลังจ้องมองอากัปกิริยาชายหนุ่มอยู่
ตรงซุ้มม้านั่งที่มีกอไม้ปกคลุมแน่น ห่างจากที่นั่งของเขาไปไม่ไกล
ความกลัวทำให้ขนลุกซุ่ขึ้นมาจึงขยับตัวตรงจ้องมองนิ่งเข้าไป
ร่างนั้นขยับลุกขึ้นเมื่อรู้ว่าคนที่ถูกจ้องรู้ตัวแล้วค่อยๆเดินๆเดินตรงมา
จนถึงในระยะแสงไฟส่องถึงเผยให้เห็นส่วนสัดสมส่วนสง่างาม
ใบหน้าอิดโรยแต่คงความหล่องดงามเฉยเมย ดวงตาสงบนิ่งจับจ้องตาเขา
ชายหนุ่มนิ่งอึ้งมองตอบเพื่อนหนุ่มตาไม่กระพริบคาดไม่ถึงว่าจะเจอกันอีกตกใจราวกับถูกปีศาจหลอกหลอนเอา
‘’ มีคนบอกว่าพันธุ์ต้องการเจอผมอีก
ผมไปหาคุณที่ห้องไม่เจอคิดว่าคุณต้องมาที่นี่จึงมาคอย ‘’ น้ำเสียงของอาคมราบเรียบไม่ได้แสดงความรู้สึกอะไรออกมา’’ ใช่ผมต้องการเจอคม ผมขอโทษและเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น’’ เมื่อได้สติชายหนุ่มจึงพูดออกไปอย่างตะกุกตะกักคล้ายกับเสียงร่ำไห้มากกว่าดวงตาอาบไปด้วยน้ำตา
ภาพชายตรงหน้าเลือนไปหมดจนเขากลัวว่าสิ่งที่เห็นเป็นภาพลวง ‘’พันธ์มาขอโทษเสียใจอะไรกัน
ผมเสียอีกเป็นฝ่ายขอโทษคุณที่มากวนให้ลำบากไปด้วย’’ เสียงพูดแฝงไปด้วยความน้อยใจของอาคมทำให้เขารู้ว่าสิ่งที่เห็นและได้ยินไม่ใช่สิ่งลวงเป็นความจริง
‘’ผมฟังผม
ผมต้องขอโทษคุณจริงๆ ผมอยากให้รู้สิ่งที่ผมมีความคิดชั่วต่อคุณ
ถึงคุณจะเกลียดผมมากแต่ผมต้องพูดความจริง คมไม่คเยมองผมว่าเป็นอย่างไรเหมือนคนที่คุณเคยเจอบ้างหรือไม่
ผมเป็นเช่นนั้นไม่แตกต่างผมต้องการคุณ ผมรักคุณมากกว่าความเป็นเพื่อน
ผมต้องการฉุดคุณเป็นอยู่อย่างเก่าเพื่อที่คุณจะหันมามองผมและรู้ความต้องการที่แท้จริงแล้วให้สิ่งนั้นแก่ผม’’ เขาลุกขึ้นเดินตรงไปข้างหน้าที่เห็นร่างพร่าๆ
ของอาคมเขาไม่สามารถรู้ได้ว่าท่าทางของอาคมที่แสดงต่อตัวเขาเป็นประการใด
หรือมีความชิงชังเพียงใด
ก้าวเท้าเดินไปอย่างไม่มั่นใจเหมือนนักโทษที่เข้าหลักประหาร’’ จริงๆแล้วผมอยากบอกคุณว่าถ้าตั้งต้นใหม่นั้นทำได้ถ้าคุณให้โอกาสแก่ตัวเอง
ผมเองให้โอกาสแก่ตัวเองมาก
ให้โอกาสแล้วให้โอกาสเล่าผมถึงได้เดินทางถึงจุดหมายและไม่เคยคิดว่าสายถ้าต้องการทำผมยอมรับว่าผมไม่ได้มีความบริสุทธิ์ใจต่อคุณถ้าคุณต้องการในสิ่งที่คุณอยากทำผมจะไม่ขัดขวางผมขอลบล้างความชั่วนี้ถ้าคุณยังอยากให้ผมช่วยอยู่อีก
ผมอยากเป็นเพื่อนคุณอย่างเก่า ผมอายจริงๆที่จะพูดคำนี้ ผมรักคุณมาก’’ ไม่มีเสียงตอบต่อคำพูด
เขารู้สึกเจ็บแปลบต่ออาการนิ่งเฉยไร้วิญญาณของอาคมชายหนุ่มยอมรับว่า
มันสาสมแล้วกับความเลวที่ได้กระทำ เขาคว้าร่างตรงหน้าราวกับว่ากลัวมันอันตรธานหาย
เขากอดร่างกายอาคมไว้แน่นไม่มีปฏิกิริยาใดทั้งสิ้น นอกจากเสียงรัวการเต้นของหัวใจของเพื่อนหนุ่ม
เนื้อตัวและกลิ่นกายของอาคมเขาสัมผัสและสูดดมอย่างกระหาย
เขาเหมือนหมดแรงค่อยๆรูดโรยตัวคุกเข่ากับพื้นหน้าแนบอยู่ระหว่างต้นขาทั้งสองและแขนโอบรัดสะโพกของอาคมไว้แน่นไม่ยอมที่จะให้ขยับหลุดไป
ร่างนั้นยังนิ่งอยู่อีกไม่ตอบโต้การกระทำของเขา ‘’ ถ้าคมจะผลกไสผมออกไป
ผมขอเพียงให้คุณยกโทษที่ทำเช่นนี้และสัญญาว่าจะไม่แตะต้องอีกเลย’’ แขนของอาคมเริ่มเคลื่อนไหวแล้วเลื่อนมาจับที่บ่า
เขาซบหน้านิ่งหลับตาแน่นคอยเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น
มันเหมือนกับนักโทษที่มองเห็นเพชฌเงื้อดาบขึ้นฟัน ฝ่ามือของอาคมลูบต้นคอชายหนุ่มอย่างเบาๆ
เหมือนกำลังปลอบขวัญที่กระเจิงแล้วใช้แขนโอบกระหวัดศรีษะและช่วงตัวไว้แน่นเหมือนกลัวจะหลุดหายออกไปเช่นกัน
มันคล้ายมีความอบอุ่นแผ่ให้ซึ่งกันและกัน จนอยากให้เวลานั้นหยุดนิ่งชั่วนิรันดร์….
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น