‘’สวัสดีครับคุณผู้ฟัง
ก็พบกันอีกเช่นเคยสำหรับการรายงานการจราจรในช่วงเช้าอย่างนี้
เช้าวันนี้รถดูจะคับคั่งกันเป็นพิเศษ เพราะเป็นวันเปิดภาคการศึกษาใหม่ และยังเป็นวันจันทร์อีกด้วย
รถที่เข้ามาจากถนนรัชดาภิเษก ห้วยขวางหรืออโศก
หากจะเข้ามาใช้เส้นทางดินแดงอนุสาวรีย์ชัยละก้อ
ควรจะเปลี่ยนไปใช้เส้นทางอื่นแทนนะครับ เพราะการจราจรติดขัดมาก
รถคันสุดท้ายอยู่แถวๆคลินิกตา ใกล้ๆสี่แยก อ.ส.ม.ท โน่นแน่ะครับ’’
โอ้โห ตายละวา ผมมองออกไปนอกหน้าต่างรถ ตึกด้านตรงข้ามมีป้ายบอกว่าเป็นคลินิกมิคตา จริงๆด้วย ตรงตามตำแหน่งที่เขาประกาศไว้ไม่ผิดเพี้ยนเลย โอ๋ยโย๋ ติดมาตั้งแต่เช้า แล้วค่อยๆ เขยิบทีละคันแบบนี้ เมื่อไหร่จะได้เห็นเงาตึกบริษัทกันล่ะเนี่ย ผมถอนหายใจเฮือกๆ นี่ผมคงจะต้องเข้างานสายอีกแล้วละซี ผมเองก็ลืมไปเสียสนิทว่า วันเปิดภาคเรียนรถราต้องมากมายกว่าปกติ เสียงรายงานการจราจรจากวิทยุคงมีต่อไปเรื่อยๆ เพื่อเป็นการคลี่คลายบรรยากาศ ผมใส่ตลับเทปเพลงลงไปในเครื่องเล่น ฟังในจิตใจสบาย และเป็นการขับไล่ความเครียดไปด้วยในตัวพร้อมส่ายสายตาเปะปะไปเรื่อยเปื่อย พลันก็มองไปเห็นสติ๊กเกอร์สีสดใสซึ่งบรรจงประดิษฐ์เป็นตัวอักษรภาษาต่างประเทศอย่างสวยงามตัวอักษรนั้นทาบทับบนสติ๊กเกอร์สีเข้มชั้นล่างซึ่งคาดอยู่ตลอดแนวส่วนบนสุดของกระจกหน้ารถอีกทีหนึ่ง ข้อความต่างประเทศสั้นๆนั้น ผมเดาเอาว่าคงจะต้องเป็นชื่อของเจ้าของรถแน่แท้ ผมพยายามแกะออกมาเป็นภาษาไทย คิดว่าจะเป็นคำว่า ‘’นฤพล’’ เป็นชื่อที่แปลกและไพเราะดีด้วย รถคันนั้นถูกตกแต่งทุกๆจุดไว้อย่างประณีตสวยงามและพอเหมาะ ตัวถังรถสีขาวสะอาดไร้ร่องรอยด่างดำมันวาวด้วยดารดูแลรักษา และยังมีสติ๊กเกอร์สีสดทาบทับไปอีกชิ้นเกือบตลอดแนวรถ กันชนขนาดใหญ่ทั้งด้านหน้าและด้านหลังสีกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกับตัวรถ และยังมีเสาอากาศขนาดยาวสีส้มติดอยู่ตรงกึ่งกลางหลังคารถอีกด้วย สวยไปหมด ผมตะลึงมองอยู่นาน จนกระทั่งรถคันนั้นเคลื่อนใกล้เข้ามาทุกที ขนาดว่าดูจากภายนอกยังสวยงามขนาดนี้ แล้วภายในรถล่ะ คงจะน่านอนพิลึก มาย้อนนึกเทียบกับรถของผมซึ่งเป็นรุ่นเดียวกันแท้ๆ แต่กลับทรุดโทรม สกปรกรกรุงรังกว่าเขาแยะ นี่แสดงว่าผู้เป็นเจ้าของรถคันนั้นต้องรักรถของเขามากทีเดียว รถนั้นใกล้เข้ามาอีกจนสามารถมองเห็นภายในรถได้ พลันสายตาของผมเกิดสะดุดหยุดกึก ตั้งใจจะชมรถแท้ๆ แต่พอได้เห็นหน้าเจ้าของรถก็เปลี่ยนเป้าสายตาใหม่ ก็ใบหน้านั้นชวนมอง ทำเอาผมมองเพลิน แต่แล้วผมก็ต้องรีบตัดภาพกลับมายังที่หน้ารถของตัวเองโดยฉับพลัน เพราะสายตาคู่นั้นน่ะสิ ดันมองตอบมาทางผมด้วย สายตาคมกร้าวนั้นมองจ้องมาด้วยอาการเคร่งขรึม ดูหนอดู เขาจะรู้ตัวบ้างรึเปล่าก็ไม่รู้ก็ผมดันไปนั่งจ้องเอามองเอาไม่วางตาอย่างนั้น เขาคงเห็นคงรู้แต่แรกแล้วล่ะ ตายละวาคิดแล้วให้รู้สึกว่าหน้าแตกละเอียดเลย ดันมาจอดรถประชันกันเสียด้วย หน้าต่างรถของเราตรงกันพอดี ผิดแต่หัวรถเท่านั้นที่หันไปคนละทางระยะห่างกันก็แค่เอื้อมแค่นี้เอง ใบหน้านั้นยังคงหันมองมาทางผมจนรู้สึกอึดอัด ผมพยายามทำคอแข็ง ไม่หันกลับหรือแม้แต่เหลือบสายตาไป หากหายตัวได้ผมจะรีบละลายหายไปซะให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย รถคันหน้าเคลื่อนพอดี ผมรีบใส่เกียร์เดินหน้าตามไป ฉากความอึดอัดจึงสิ้นสุดลงเพียงแค่นี้ เฮ้อ! ค่อยยังชั่ว นึกว่าไม่รอดซะแล้ว ผมเหลือบตาดูจากกระจกมองข้าง ภาพที่ได้เห็นคือใบหน้านั้นมองตามพร้อมด้วยรอยยิ้มน้อยๆ เขาคงหัวเราะเยาะผมตายเลยที่ไปนั่งจ้องเขาไม่วางตาแบบนั้น สายตาของผมคงแสดงออกถึงความชื่นชมในตัวเขาไม่น้อยเขาจึงยิ้มไม่ยอมหุบขนาดนั้น นี่เขาจะตีความหมายไปถึงไหนๆก็ไม่รู้ ผมอายจังเลยเมื่อคิดว่าเขาอาจจะอ่านความนัยจากสายตาของผมออกไม่น่าเลย อยู่ดีไม่ว่าดี แต่พอมาคิดอีกทีเราก็แค่ขับรถสวนกัน คงไม่เป็นไรหรอก ต่างคนต่างก็ไม่รู้จักกันอยู่แล้ว ถึงเขาจะหัวเราะเยาะก็คงแค่ชั่วเดี่ยวเดียว อีกสักเดี๋ยวเขาก็คงจะลืมจำหน้าไม่ได้แล้วล่ะน่ะ ผมปลอบตัวผมปลอบตัวเอง
16 พฤษภาคม พ.ศ….
เปิดเทอมวันแรก แย่เลย ไปทำงานสายที่สุดเท่าที่เคยสายมา ตอกบัตรเป็นคนสุดท้ายของเช้านี้ สายไปตั้งเกือบชั่วโมง แถมหลบเจ้านายแทบไม่พ้น โดนเรียกไปสวดเสียจมหู เฮ้อ! ก็รู้อยู่ว่าวันเปิดเทอมน่ะมันเป็นยังไง ยังดันตื่นสายอีก มันก็สมควรอยู่หรอกที่จะให้เขาว่าได้ นี่ถ้าไม่ใช่เพราะคุณพ่อเคยออกปากฝากฝังกับเขาไว้ละก้อ ป่านนี้ เฮ้อ! ผมไม่อยากจะคิดก็ดี ผมจะพยายามปรับปรุงตัวซะใหม่ ไม่ยอมให้เขามีโอกาสมาว่าได้อีกว่า โตแล้วแต่ยังทำตัวเป็นเด็กๆอยู่เกลียดคำพูดนี้ของเขาที่สุด
17 พฤษภาคม พ.ศ….
วันนี้ตื่นแต่เช้าเลย รถราบนถนนผิดกับวันวานชนิดหน้ามือเป็นหลังเท้าเลย เออ! นะ เพิ่งจะรู้ว่าตื่นเช้านี่มันดีอย่างนี้ อากาศสดชื่น รถไม่ติด จิตใจสบาย ดีไปหมด ตอนกลางวัน ‘’ไอ้ไก่’’ เพื่อนเก่าสมัยพระเจ้าเหาโทรมาชวนไปฉลองที่มันตกงานอีกแล้ว ขัดเพื่อนไม่ได้ซะด้วย คืนนี้คงเมาเพียบ ดึกอีก ช่างมันนานๆที
18 พฤษภาคม พ.ศ….
นาฬิกาปลุกดังแล้วดังอีกไม่รู้กี่รอบกว่าจะทำใจให้ลุกจากเตียงได้ รีบล้างหน้าแปรงฟันลวกๆ ไม่อาบมันแล้วน้ำ สายอีกแล้วแน่เลยตูเอ๋ย ผมนั่งรถพรวดออกจากซอย อยากจะเหยียบอยากจะซิ่ง แต่หมดสิทธิ์ เพราะขบวนรถติดยาวเหยียดเลย กว่าจะถึงบริษัทเล่นเอาสายกว่าวานซืนนั้นอีก ผมเพิ่งจะรู้จักคำว่า’’ตาเป็นมัน’’ ก็วันนี้แหละ เจ้านายผมงี้ตาแกจะเยิ้มหยดซะให้ได้ พอแกร่ายยาวเสร็จ ก็คาดโทษไว้อีกต่างหากว่าจะรายงานคุณพ่อ ถ้ายังประพฤติตัวเช่นนี้อีกแม้เพียงครั้งเดียว หากเขารายงานไปจริงๆ ผมโดนก้านคอแน่ ไม่ได้การแล้ว ต่อไปนี้ ผมต้องตื่นเช้าทุกวันแล้ว เดี๋ยวป๊ะป๋าเตะตายแน่ เออ เมื่อเช้าผมรีบซะจนลืมสนิท แต่ก็แน่ใจว่าไม่ได้สวนกับรถสวยคันนั้นเลยตลอดทางสองสามวันแล้วสินะที่ไม่ได้เห็นเขา ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมจึงอยากจะสวนกับรถคันนั้นเสียหนักหนา
ผมหยุดบันทึกประจำวันของผมไว้แค่นั้น ตั้งแต่พรุ่งนี้ผมจะต้องเป็นคนใหม่ซะทีต้องรู้จักรับผิดชอบให้มากขึ้นกว่านี้ ผมกลัวเจ้านายรายงานคุณพ่ออย่างที่ขู่ เช้าวันนี้ นาฬิกาปลุกไม่ต้องทำงานหนักเหมือนอย่างเคย เพราะผมเองพยายามบังคับตัวเองให้ลุกขึ้นตั้งแต่ครั้งแรก ด้วยเกรงว่าจะสาย ผมขับรถไปเรื่อยๆ สดชื่นกับอากาศยามเช้ายิ่งนัก และทันทีที่เลี้ยวเข้าสี่แยกของทางสายเก่า สายตาของผมก็เริ่มจับมองรถทุกคันที่แล่นสวนไป เผื่อว่าจะได้เจอะเจออย่างที่ใจเรียกร้อง สองวันแล้วที่ไม่ได้ขับรถสวนกันเลย จิตใจก็แปลก รู้จักก็ไม่รู้จักเขาสักกะหน่อยดันไปคิดถึงเขาอะไรกันมากมาย ใบหน้าได้รูปดวงตาดำคมบวกกับรอยยิ้มมีเสน่ห์นั้นก็ขยับมากลอยวนๆอยู่ในห้วงความคิด ไม่ยอมห่างหายไปไหนสักที วันนี้เราจะได้เจอเขาหรือเปล่าหนอแต่คงไม่มากกว่า เพราะสองวันก่อนนั้นผมออกเช้าก็แล้ว ออกสายก็แล้ว ไม่ได้เจอเลยทั้งสองวัน หรือว่าเป็นเพราะเขาไม่ได้ใช้เส้น ก็อาจจะเป็นไปได้ วันนั้นเขาคงเพียงบังเอิญขับรถผ่านมาใช้เส้นทางนี้เขาไม่จำเป็นต้องพึ่งเส้นทางสายนี้เป็นประจำทุกๆวันเช่นที่ผมใช้อยู่ เช่นนั้น เราก็คงไม่มีโอกาสได้เจอกันอีกเป็นแน่ น่าแปลกที่ในสวนลึกรู้สึกเสียดายและใจหายที่ไม่ได้เจอเขาอีก จะว่าไปถึงได้เจอกับเขาอีกจริงๆ ก็คงทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าแอบมองเขาหรอกนะ ความคิดล่องลอยไปเรื่อยเปื่อย แล้วหัวใจก็แทบจะหยุดเต้น รอยยิ้มผุดขึ้นมาทันทีที่ได้เห็นภาพตรงหน้า แม้ในระยะไกลเช่นนี้ผมก็จำได้ดีว่าใช่รถคันเดียวกันกับที่ฝันถึง ใช่เขาจริงๆเขาสวมแว่นดำเสียด้วย เลยดูหล่อคมขึ้นไปอีก รถสีขาวขับผ่านไปแล้ว น้อยใจนิดๆ ที่เขาไม่ได้มองผ่านมาทางนี้เลย เขาคงจะจำไม่ได้หรืออีกทีก็ไม่สนใจจะจำ จะอะไรก็ช่างเถอะ เพียงแค่ได้เห็นใบหน้าเขา ใจผมก็เป็นสุขขึ้นมาอีกตั้งพะเรอแล้วล่ะ ผมนั่งยิ้มกริ่มอยู่คนเดียวราวกับเป็นบ้ามันดีใจยังไงไม่รู้ บรรยายไม่ถูก เสียดายที่รถไม่ติด เสียดายที่ไม่ได้ประจันหน้ากัน เสียดายจังเลย เสียดายจริงๆ แต่วันพรุ่งนี้ก็ยังมี พรุ่งนี้เราอาจจะได้เจอกันอีกก็ได้ ถ้าเจอกันอีกผมจะรีบส่งยิ้มให้เขาก่อนเลย เอ จะดีหรือเปล่าหนอ ดีซิ ต้องดีแน่ เผื่อฟลุคจะได้ทำความรู้จักกันไว้เสียเลย คาดการณ์ไว้เสียสวยงามถึงเวลาเข้าจริงๆ ความกล้าจะมีสักแค่ไหนก็ยังไม่รู้เถอะ ก็ต้องคอยดูกันต่อไป เฮ้อ! ขอให้รถติดเถอะพรุ่งนี้ ขอให้ติดติดเยอะๆ และขอให้เจอเขาด้วย ผมขับรถไปเรื่อยๆด้วยอารมณ์สดชื่นแจ่มใสขึ้นกว่าเดิมหลายเท่านัก นึกจินตนาการภาพเหตุการณ์ของวันพรุ่งนี้อย่างเป็นสุข หากเขายิ้มตอบและยอมพูดคุยด้วย ผมจะทักทายเขายังไงดีนะ จะพูดกับเขาอย่างไรดี ผมนั่งคิดหาคำพูดสวยๆแล้วก็ยิ้มให้ตัวเองอย่างแสนจะสุข ตลอดระยะเวลาสองสามวันที่ผ่านมาเพิ่งจะมีวันนี้แหละที่ค่อนข้างจะรู้สึกเป็นสุขขึ้นมาหน่อย ไม่แน่ พรุ่งนี้อาจจะสุขยิ่งกว่านี้อีกก็ได้ ผมตั้งท่าจะยิ้มอีก แต่แล้วเหตุการณ์ให้ต้องรีบหุบอะไรสักอย่างหนึ่งแล่นวูบมาด้วยความเร็ว และจอดขวางหน้ารถผมในระยะกระชั้นชิด ผมสะดุ้งตื่นจากภวังค์ทันที รีบเหยียบเบรกจนตัวโก่ง ก็แทบจะเบรกไม่อยู่ไปเหมือนกันมันกะทันหันมากเลย ขนาดว่ารถจอดสนิทแล้วระยะห่างจากรถคันหนึ่งก็เพียงแค่คืบ โชคยังช่วยที่ไม่ชนเอารถคันนั้นเข้ากระเป๋ายิ่งแห้งๆอยู่เกือบไปแล้วจริงๆ นึกด่ารถเฮงซวยที่ดันขับมาปาดหน้าด้วยระยะกระชั้นชิดคันนั้น มันเรียนมาจากสำนักงานไหนกันถึงได้ขับรถพิเรนแบบนี้ สอบใบขับขี่มาได้ไงไร้คุณภาพสิ้นดี สบถแล้วก็ยิ่งให้รู้สึกอยากจะชกหน้าไอ้คนขับนัก แต่แล้วเมื่อผมได้พิจารณารถคันหน้าอย่างละเอียดแล้ว ก็ต้องถึงกับเปลี่ยนความคิด ก็รถคันสีขาวคันที่จอดอยู่หน้ารถของผมนั้นเป็นคันเดียวกันกับคันที่เพิ่งขับสวนกันไปเมื่อกี้นั่นเอง เฮ้ย ตาฝาดไปรึป่าวละตู ท่าจะบ้าใหญ่แล้วแฮะ เห็นอะไรๆเป็นรถสีขาวเป็นเขาคนนั้นไปหมด ผมขยี้ตาอย่างไม่ค่อยเชื่อนัก หากเมื่อเพ่งมองดูอีกที มันก็ยังคงเป็นรถคันเดิมอยู่นั่นแหละ มีเสียงทุ้มๆ มาถามอยู่ใกล้ๆว่า ‘’ บาดเจ็บตรงไหนรึป่าวครับ’’ เขานั่นเองถามมาพร้อมด้วยรอยยิ้มน่ารัก มัวเพลินมองรอยยิ้มของเขา เลยไม่ได้ตอบไปว่ากระไร’’ เยี่ยมจะจริงๆ ผมได้ยินเสียงเบรกของคุณแล้ว นึกว่าท้ายรถของผมจะบุบบี้ซะแล้วซิครับ’’ผมต้องฝันไปแน่ๆ เลยไม่น่ะ ผมอยากให้มันเป็นความจริงมากกว่า ‘’ ‘’ยังไม่หายตกใจรึครับ ไม่เห็นพูดอะไรเลย’’ เสียงพูดได้ยินก็จริง ทุกสิ่งเป็นจริงมิใช่ความฝัน ‘’เอางี้ดีมั้ย’’ เขาเอ่ยขึ้นอีก ‘’ เดี๋ยวเราแวะหากาแฟทานกันสักถ้วยนะครับ’’ น้ำเสียงทุ้มๆอย่างนี้ใครล่ะจะกล้าปฏิเสธ แต่ที่จริง ต่อให้ต้องออกแรงวิ่งตามใบ ผมก็ไม่คิดจะปฏิเสธเลยจริงๆ ‘’ดีซิครับ’’ ผมไม่ได้ตอบออกมาหรอกเพียงแต่พยักหน้ารับคำของเขา เขายิ้มแล้วผละไปที่รถคันสีขาวนั้น ออกรถนำหน้าไป ผมขับรถตามเขาไป ใจยังหวิวๆ แปลกๆกับความจริงที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อสักครู่เป็นไปได้ยังไงกัน เพราะปกติอะไรๆไม่เห็นเคยลงตัวเป๊ะๆ อย่างนี้สักครั้งเลยนี่นา งง ! แต่ก็รีบตามเขาไปติดๆ จนกระทั่งเขาดับเครื่องยนต์ลงตรงหน้าร้านสวยซึ่งกรุกระจกใสรอบด้าน พอลงนั่ง กาแฟร้อนควันฉุนก็ถูกวางตรงหน้าแทบจะทันที เขาช่างบริการได้น่ารักอะไรเช่นนี้ ‘’ทานเสียหน่อยสิครับ เดี๋ยวคุณคงจะรู้สึกดีขึ้น ‘’ เป็นประโยคแรกที่เขาพูดขึ้น หลังจากวางถ้วยกาแฟลงบนจานรองแล้ว ‘’ ผมต้องขอโทษด้วยนะครับที่ เอ้อ…ที่…ทำให้คุณตกใจน่ะครับ’’ ‘’ อ๋อ ไม่หรอกครับ คือก็ไม่เชิงว่าตกใจหรอกนะครับ แต่มันยังไงล่ะ คือมันแปลกใจใช่ แปลกใจมากกว่า ‘’ ‘’ ยังไงนะครับ ผมไม่ค่อยเข้าใจ’’ ‘’คือ ผมรู้สึกว่าผมเห็นคุณขับรถสวนผ่านไปแล้วนี่ครับ ‘’ คำพูดของผมทำให้สีหน้าของเขาแช่มชื่นเสียเหลือเกิน คงดี ภูมิใจมากสินะที่มีใครเขาสนใจคอยมองดูอยู่ รู้สึกขวางนิดๆ แต่ก็นิดหน่อยเดียว…จริงๆ ‘’ เสร็จแล้วจู่ๆ คุณก็โผล่มาปาดหน้าผม คือไม่นึกว่าจะเป็นคุณน่ะ งงจริงๆ ‘’ ‘’ ก็ผมเห็นคุณยิ้มให้ ผมก็เลย…’’ ‘’ ผมน่ะเหรอ ยิ้มให้คุณ’’ ประโยคนี้ของผมดูเหมือนจะทำให้เขาหน้าเจื่อนไปหน่อยๆ ผมหลุดปากไปซะก่อนที่คิดได้ว่า ก็ยิ้มให้เขาจริงๆ น่ะแหละ แต่ไม่นึกว่าเขาจะเห็นก็เขาไม่ได้มองมานี่นา จริงๆแล้วยิ้มนั้นเกิดขึ้นจากความดีใจที่ได้เจอเขาอีกครั้งนั่นเอง เขาคงจะนึกว่าผมยิ้มทักทายเขา ก็ดี โอ.เค.เลยตีขลุมไปเลยก็ได้ เขาจะได้ไม่เก้อด้วยหน้าหล่อๆ อย่างนี้ไม่อยากให้แตกเลย เสียดายครับ ‘’เอ รึว่า ผมจะเข้าใจผิดไป หรืออีกทีก็ตาฝาดไป หรือว่า… ‘’ เขาออกตัวอย่าง กลัวจะหน้าแตกมากไปกว่านี้ ผมอยากจะหัวเราะกับกิริยาของเขานัก ‘’ แต่ผมก็แน่ใจว่า…’’ ‘’ อ๋อ ปะเปล่า ไม่ผิดหรอก ‘’ ผมรีบขัดขั้น’’ ผมนึกออกแล้ว ผมยิ้มให้คุณจริงๆ น่ะแหละ’’ พูดจบก็หลบตาคมกล้าคมของเขา ก็แหมดันมานั่งจ้องเอาจ้องเอา ไอ้ผมรึก็เขินเต็มแก่ เฮ้อ! สายอีกแล้วแหงๆเลยวันนี้ นายจะรายงานคุณพ่อจริงๆ อย่างที่ขู่ไว้หรือเปล่าก็ไม่รู้ กลัวถูกเตะก็กลัว แต่จะให้ทำไงได้ล่ะจะผละจากหนุ่หล่อๆ ตรงหน้าไปในตอนนี้ได้ยังไง มันช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อแท้ๆ ไม่ได้หรอก โอกาสดีๆ ใช่ว่าจะเกิดขึ้นได้บ่อยๆ เถอะถึงยังไงมันก็คุ้มแสนที่จะคุ้ม ขออีกสักครั้งเถอะนะป๊ะป๋านะ เขาอีกแหละ ที่เอ่ยทำลายความมเงียบขึ้นก่อนว่า ‘’ คุณคงจะไม่รังเกียจนะครับ หากจะมีเพื่อนเพิ่มขึ้นอีกสักคน’’ ‘’ ใครรึครับ’’ ก็รู้อยู่หรอก แต่แกล้งถามจะดูว่าจะตอบว่าไง ‘’คนนั้นไงครับ’’ ผมเลิกคิ้ว มองหน้าเขาเป็นเชิงถามว่า ใคร…คนไหน เขาชี้นิ้วไปทางนอกร้าน เอ มันชักจะยังไงๆเสียแล้ว ผมมองไปตามนิ้วมือเขา บริเวณนั้นก็ไม่เห็นจะมีใคร นอกจากรถยนต์สองคันของเราที่จอดอยู่ก่อนแล้ว มองหน้าเขาอีกที เขาจะลูกเล่นอะไรของเขาหนอ ‘’ก็คนนั้นไงครับ คนที่เป็นเจ้าของรถสีขาวคันนั้น ‘’ เขามองหน้าผม ผมมองหน้าเขา เขายิ้มขึ้นก่อน ผมก็ยิ้มตาม แล้วเสียงหัวเราะของเราก็ประสานกันเป็นหนึ่งเดียว…
โอ้โห ตายละวา ผมมองออกไปนอกหน้าต่างรถ ตึกด้านตรงข้ามมีป้ายบอกว่าเป็นคลินิกมิคตา จริงๆด้วย ตรงตามตำแหน่งที่เขาประกาศไว้ไม่ผิดเพี้ยนเลย โอ๋ยโย๋ ติดมาตั้งแต่เช้า แล้วค่อยๆ เขยิบทีละคันแบบนี้ เมื่อไหร่จะได้เห็นเงาตึกบริษัทกันล่ะเนี่ย ผมถอนหายใจเฮือกๆ นี่ผมคงจะต้องเข้างานสายอีกแล้วละซี ผมเองก็ลืมไปเสียสนิทว่า วันเปิดภาคเรียนรถราต้องมากมายกว่าปกติ เสียงรายงานการจราจรจากวิทยุคงมีต่อไปเรื่อยๆ เพื่อเป็นการคลี่คลายบรรยากาศ ผมใส่ตลับเทปเพลงลงไปในเครื่องเล่น ฟังในจิตใจสบาย และเป็นการขับไล่ความเครียดไปด้วยในตัวพร้อมส่ายสายตาเปะปะไปเรื่อยเปื่อย พลันก็มองไปเห็นสติ๊กเกอร์สีสดใสซึ่งบรรจงประดิษฐ์เป็นตัวอักษรภาษาต่างประเทศอย่างสวยงามตัวอักษรนั้นทาบทับบนสติ๊กเกอร์สีเข้มชั้นล่างซึ่งคาดอยู่ตลอดแนวส่วนบนสุดของกระจกหน้ารถอีกทีหนึ่ง ข้อความต่างประเทศสั้นๆนั้น ผมเดาเอาว่าคงจะต้องเป็นชื่อของเจ้าของรถแน่แท้ ผมพยายามแกะออกมาเป็นภาษาไทย คิดว่าจะเป็นคำว่า ‘’นฤพล’’ เป็นชื่อที่แปลกและไพเราะดีด้วย รถคันนั้นถูกตกแต่งทุกๆจุดไว้อย่างประณีตสวยงามและพอเหมาะ ตัวถังรถสีขาวสะอาดไร้ร่องรอยด่างดำมันวาวด้วยดารดูแลรักษา และยังมีสติ๊กเกอร์สีสดทาบทับไปอีกชิ้นเกือบตลอดแนวรถ กันชนขนาดใหญ่ทั้งด้านหน้าและด้านหลังสีกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกับตัวรถ และยังมีเสาอากาศขนาดยาวสีส้มติดอยู่ตรงกึ่งกลางหลังคารถอีกด้วย สวยไปหมด ผมตะลึงมองอยู่นาน จนกระทั่งรถคันนั้นเคลื่อนใกล้เข้ามาทุกที ขนาดว่าดูจากภายนอกยังสวยงามขนาดนี้ แล้วภายในรถล่ะ คงจะน่านอนพิลึก มาย้อนนึกเทียบกับรถของผมซึ่งเป็นรุ่นเดียวกันแท้ๆ แต่กลับทรุดโทรม สกปรกรกรุงรังกว่าเขาแยะ นี่แสดงว่าผู้เป็นเจ้าของรถคันนั้นต้องรักรถของเขามากทีเดียว รถนั้นใกล้เข้ามาอีกจนสามารถมองเห็นภายในรถได้ พลันสายตาของผมเกิดสะดุดหยุดกึก ตั้งใจจะชมรถแท้ๆ แต่พอได้เห็นหน้าเจ้าของรถก็เปลี่ยนเป้าสายตาใหม่ ก็ใบหน้านั้นชวนมอง ทำเอาผมมองเพลิน แต่แล้วผมก็ต้องรีบตัดภาพกลับมายังที่หน้ารถของตัวเองโดยฉับพลัน เพราะสายตาคู่นั้นน่ะสิ ดันมองตอบมาทางผมด้วย สายตาคมกร้าวนั้นมองจ้องมาด้วยอาการเคร่งขรึม ดูหนอดู เขาจะรู้ตัวบ้างรึเปล่าก็ไม่รู้ก็ผมดันไปนั่งจ้องเอามองเอาไม่วางตาอย่างนั้น เขาคงเห็นคงรู้แต่แรกแล้วล่ะ ตายละวาคิดแล้วให้รู้สึกว่าหน้าแตกละเอียดเลย ดันมาจอดรถประชันกันเสียด้วย หน้าต่างรถของเราตรงกันพอดี ผิดแต่หัวรถเท่านั้นที่หันไปคนละทางระยะห่างกันก็แค่เอื้อมแค่นี้เอง ใบหน้านั้นยังคงหันมองมาทางผมจนรู้สึกอึดอัด ผมพยายามทำคอแข็ง ไม่หันกลับหรือแม้แต่เหลือบสายตาไป หากหายตัวได้ผมจะรีบละลายหายไปซะให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย รถคันหน้าเคลื่อนพอดี ผมรีบใส่เกียร์เดินหน้าตามไป ฉากความอึดอัดจึงสิ้นสุดลงเพียงแค่นี้ เฮ้อ! ค่อยยังชั่ว นึกว่าไม่รอดซะแล้ว ผมเหลือบตาดูจากกระจกมองข้าง ภาพที่ได้เห็นคือใบหน้านั้นมองตามพร้อมด้วยรอยยิ้มน้อยๆ เขาคงหัวเราะเยาะผมตายเลยที่ไปนั่งจ้องเขาไม่วางตาแบบนั้น สายตาของผมคงแสดงออกถึงความชื่นชมในตัวเขาไม่น้อยเขาจึงยิ้มไม่ยอมหุบขนาดนั้น นี่เขาจะตีความหมายไปถึงไหนๆก็ไม่รู้ ผมอายจังเลยเมื่อคิดว่าเขาอาจจะอ่านความนัยจากสายตาของผมออกไม่น่าเลย อยู่ดีไม่ว่าดี แต่พอมาคิดอีกทีเราก็แค่ขับรถสวนกัน คงไม่เป็นไรหรอก ต่างคนต่างก็ไม่รู้จักกันอยู่แล้ว ถึงเขาจะหัวเราะเยาะก็คงแค่ชั่วเดี่ยวเดียว อีกสักเดี๋ยวเขาก็คงจะลืมจำหน้าไม่ได้แล้วล่ะน่ะ ผมปลอบตัวผมปลอบตัวเอง
16 พฤษภาคม พ.ศ….
เปิดเทอมวันแรก แย่เลย ไปทำงานสายที่สุดเท่าที่เคยสายมา ตอกบัตรเป็นคนสุดท้ายของเช้านี้ สายไปตั้งเกือบชั่วโมง แถมหลบเจ้านายแทบไม่พ้น โดนเรียกไปสวดเสียจมหู เฮ้อ! ก็รู้อยู่ว่าวันเปิดเทอมน่ะมันเป็นยังไง ยังดันตื่นสายอีก มันก็สมควรอยู่หรอกที่จะให้เขาว่าได้ นี่ถ้าไม่ใช่เพราะคุณพ่อเคยออกปากฝากฝังกับเขาไว้ละก้อ ป่านนี้ เฮ้อ! ผมไม่อยากจะคิดก็ดี ผมจะพยายามปรับปรุงตัวซะใหม่ ไม่ยอมให้เขามีโอกาสมาว่าได้อีกว่า โตแล้วแต่ยังทำตัวเป็นเด็กๆอยู่เกลียดคำพูดนี้ของเขาที่สุด
17 พฤษภาคม พ.ศ….
วันนี้ตื่นแต่เช้าเลย รถราบนถนนผิดกับวันวานชนิดหน้ามือเป็นหลังเท้าเลย เออ! นะ เพิ่งจะรู้ว่าตื่นเช้านี่มันดีอย่างนี้ อากาศสดชื่น รถไม่ติด จิตใจสบาย ดีไปหมด ตอนกลางวัน ‘’ไอ้ไก่’’ เพื่อนเก่าสมัยพระเจ้าเหาโทรมาชวนไปฉลองที่มันตกงานอีกแล้ว ขัดเพื่อนไม่ได้ซะด้วย คืนนี้คงเมาเพียบ ดึกอีก ช่างมันนานๆที
18 พฤษภาคม พ.ศ….
นาฬิกาปลุกดังแล้วดังอีกไม่รู้กี่รอบกว่าจะทำใจให้ลุกจากเตียงได้ รีบล้างหน้าแปรงฟันลวกๆ ไม่อาบมันแล้วน้ำ สายอีกแล้วแน่เลยตูเอ๋ย ผมนั่งรถพรวดออกจากซอย อยากจะเหยียบอยากจะซิ่ง แต่หมดสิทธิ์ เพราะขบวนรถติดยาวเหยียดเลย กว่าจะถึงบริษัทเล่นเอาสายกว่าวานซืนนั้นอีก ผมเพิ่งจะรู้จักคำว่า’’ตาเป็นมัน’’ ก็วันนี้แหละ เจ้านายผมงี้ตาแกจะเยิ้มหยดซะให้ได้ พอแกร่ายยาวเสร็จ ก็คาดโทษไว้อีกต่างหากว่าจะรายงานคุณพ่อ ถ้ายังประพฤติตัวเช่นนี้อีกแม้เพียงครั้งเดียว หากเขารายงานไปจริงๆ ผมโดนก้านคอแน่ ไม่ได้การแล้ว ต่อไปนี้ ผมต้องตื่นเช้าทุกวันแล้ว เดี๋ยวป๊ะป๋าเตะตายแน่ เออ เมื่อเช้าผมรีบซะจนลืมสนิท แต่ก็แน่ใจว่าไม่ได้สวนกับรถสวยคันนั้นเลยตลอดทางสองสามวันแล้วสินะที่ไม่ได้เห็นเขา ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมจึงอยากจะสวนกับรถคันนั้นเสียหนักหนา
ผมหยุดบันทึกประจำวันของผมไว้แค่นั้น ตั้งแต่พรุ่งนี้ผมจะต้องเป็นคนใหม่ซะทีต้องรู้จักรับผิดชอบให้มากขึ้นกว่านี้ ผมกลัวเจ้านายรายงานคุณพ่ออย่างที่ขู่ เช้าวันนี้ นาฬิกาปลุกไม่ต้องทำงานหนักเหมือนอย่างเคย เพราะผมเองพยายามบังคับตัวเองให้ลุกขึ้นตั้งแต่ครั้งแรก ด้วยเกรงว่าจะสาย ผมขับรถไปเรื่อยๆ สดชื่นกับอากาศยามเช้ายิ่งนัก และทันทีที่เลี้ยวเข้าสี่แยกของทางสายเก่า สายตาของผมก็เริ่มจับมองรถทุกคันที่แล่นสวนไป เผื่อว่าจะได้เจอะเจออย่างที่ใจเรียกร้อง สองวันแล้วที่ไม่ได้ขับรถสวนกันเลย จิตใจก็แปลก รู้จักก็ไม่รู้จักเขาสักกะหน่อยดันไปคิดถึงเขาอะไรกันมากมาย ใบหน้าได้รูปดวงตาดำคมบวกกับรอยยิ้มมีเสน่ห์นั้นก็ขยับมากลอยวนๆอยู่ในห้วงความคิด ไม่ยอมห่างหายไปไหนสักที วันนี้เราจะได้เจอเขาหรือเปล่าหนอแต่คงไม่มากกว่า เพราะสองวันก่อนนั้นผมออกเช้าก็แล้ว ออกสายก็แล้ว ไม่ได้เจอเลยทั้งสองวัน หรือว่าเป็นเพราะเขาไม่ได้ใช้เส้น ก็อาจจะเป็นไปได้ วันนั้นเขาคงเพียงบังเอิญขับรถผ่านมาใช้เส้นทางนี้เขาไม่จำเป็นต้องพึ่งเส้นทางสายนี้เป็นประจำทุกๆวันเช่นที่ผมใช้อยู่ เช่นนั้น เราก็คงไม่มีโอกาสได้เจอกันอีกเป็นแน่ น่าแปลกที่ในสวนลึกรู้สึกเสียดายและใจหายที่ไม่ได้เจอเขาอีก จะว่าไปถึงได้เจอกับเขาอีกจริงๆ ก็คงทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าแอบมองเขาหรอกนะ ความคิดล่องลอยไปเรื่อยเปื่อย แล้วหัวใจก็แทบจะหยุดเต้น รอยยิ้มผุดขึ้นมาทันทีที่ได้เห็นภาพตรงหน้า แม้ในระยะไกลเช่นนี้ผมก็จำได้ดีว่าใช่รถคันเดียวกันกับที่ฝันถึง ใช่เขาจริงๆเขาสวมแว่นดำเสียด้วย เลยดูหล่อคมขึ้นไปอีก รถสีขาวขับผ่านไปแล้ว น้อยใจนิดๆ ที่เขาไม่ได้มองผ่านมาทางนี้เลย เขาคงจะจำไม่ได้หรืออีกทีก็ไม่สนใจจะจำ จะอะไรก็ช่างเถอะ เพียงแค่ได้เห็นใบหน้าเขา ใจผมก็เป็นสุขขึ้นมาอีกตั้งพะเรอแล้วล่ะ ผมนั่งยิ้มกริ่มอยู่คนเดียวราวกับเป็นบ้ามันดีใจยังไงไม่รู้ บรรยายไม่ถูก เสียดายที่รถไม่ติด เสียดายที่ไม่ได้ประจันหน้ากัน เสียดายจังเลย เสียดายจริงๆ แต่วันพรุ่งนี้ก็ยังมี พรุ่งนี้เราอาจจะได้เจอกันอีกก็ได้ ถ้าเจอกันอีกผมจะรีบส่งยิ้มให้เขาก่อนเลย เอ จะดีหรือเปล่าหนอ ดีซิ ต้องดีแน่ เผื่อฟลุคจะได้ทำความรู้จักกันไว้เสียเลย คาดการณ์ไว้เสียสวยงามถึงเวลาเข้าจริงๆ ความกล้าจะมีสักแค่ไหนก็ยังไม่รู้เถอะ ก็ต้องคอยดูกันต่อไป เฮ้อ! ขอให้รถติดเถอะพรุ่งนี้ ขอให้ติดติดเยอะๆ และขอให้เจอเขาด้วย ผมขับรถไปเรื่อยๆด้วยอารมณ์สดชื่นแจ่มใสขึ้นกว่าเดิมหลายเท่านัก นึกจินตนาการภาพเหตุการณ์ของวันพรุ่งนี้อย่างเป็นสุข หากเขายิ้มตอบและยอมพูดคุยด้วย ผมจะทักทายเขายังไงดีนะ จะพูดกับเขาอย่างไรดี ผมนั่งคิดหาคำพูดสวยๆแล้วก็ยิ้มให้ตัวเองอย่างแสนจะสุข ตลอดระยะเวลาสองสามวันที่ผ่านมาเพิ่งจะมีวันนี้แหละที่ค่อนข้างจะรู้สึกเป็นสุขขึ้นมาหน่อย ไม่แน่ พรุ่งนี้อาจจะสุขยิ่งกว่านี้อีกก็ได้ ผมตั้งท่าจะยิ้มอีก แต่แล้วเหตุการณ์ให้ต้องรีบหุบอะไรสักอย่างหนึ่งแล่นวูบมาด้วยความเร็ว และจอดขวางหน้ารถผมในระยะกระชั้นชิด ผมสะดุ้งตื่นจากภวังค์ทันที รีบเหยียบเบรกจนตัวโก่ง ก็แทบจะเบรกไม่อยู่ไปเหมือนกันมันกะทันหันมากเลย ขนาดว่ารถจอดสนิทแล้วระยะห่างจากรถคันหนึ่งก็เพียงแค่คืบ โชคยังช่วยที่ไม่ชนเอารถคันนั้นเข้ากระเป๋ายิ่งแห้งๆอยู่เกือบไปแล้วจริงๆ นึกด่ารถเฮงซวยที่ดันขับมาปาดหน้าด้วยระยะกระชั้นชิดคันนั้น มันเรียนมาจากสำนักงานไหนกันถึงได้ขับรถพิเรนแบบนี้ สอบใบขับขี่มาได้ไงไร้คุณภาพสิ้นดี สบถแล้วก็ยิ่งให้รู้สึกอยากจะชกหน้าไอ้คนขับนัก แต่แล้วเมื่อผมได้พิจารณารถคันหน้าอย่างละเอียดแล้ว ก็ต้องถึงกับเปลี่ยนความคิด ก็รถคันสีขาวคันที่จอดอยู่หน้ารถของผมนั้นเป็นคันเดียวกันกับคันที่เพิ่งขับสวนกันไปเมื่อกี้นั่นเอง เฮ้ย ตาฝาดไปรึป่าวละตู ท่าจะบ้าใหญ่แล้วแฮะ เห็นอะไรๆเป็นรถสีขาวเป็นเขาคนนั้นไปหมด ผมขยี้ตาอย่างไม่ค่อยเชื่อนัก หากเมื่อเพ่งมองดูอีกที มันก็ยังคงเป็นรถคันเดิมอยู่นั่นแหละ มีเสียงทุ้มๆ มาถามอยู่ใกล้ๆว่า ‘’ บาดเจ็บตรงไหนรึป่าวครับ’’ เขานั่นเองถามมาพร้อมด้วยรอยยิ้มน่ารัก มัวเพลินมองรอยยิ้มของเขา เลยไม่ได้ตอบไปว่ากระไร’’ เยี่ยมจะจริงๆ ผมได้ยินเสียงเบรกของคุณแล้ว นึกว่าท้ายรถของผมจะบุบบี้ซะแล้วซิครับ’’ผมต้องฝันไปแน่ๆ เลยไม่น่ะ ผมอยากให้มันเป็นความจริงมากกว่า ‘’ ‘’ยังไม่หายตกใจรึครับ ไม่เห็นพูดอะไรเลย’’ เสียงพูดได้ยินก็จริง ทุกสิ่งเป็นจริงมิใช่ความฝัน ‘’เอางี้ดีมั้ย’’ เขาเอ่ยขึ้นอีก ‘’ เดี๋ยวเราแวะหากาแฟทานกันสักถ้วยนะครับ’’ น้ำเสียงทุ้มๆอย่างนี้ใครล่ะจะกล้าปฏิเสธ แต่ที่จริง ต่อให้ต้องออกแรงวิ่งตามใบ ผมก็ไม่คิดจะปฏิเสธเลยจริงๆ ‘’ดีซิครับ’’ ผมไม่ได้ตอบออกมาหรอกเพียงแต่พยักหน้ารับคำของเขา เขายิ้มแล้วผละไปที่รถคันสีขาวนั้น ออกรถนำหน้าไป ผมขับรถตามเขาไป ใจยังหวิวๆ แปลกๆกับความจริงที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อสักครู่เป็นไปได้ยังไงกัน เพราะปกติอะไรๆไม่เห็นเคยลงตัวเป๊ะๆ อย่างนี้สักครั้งเลยนี่นา งง ! แต่ก็รีบตามเขาไปติดๆ จนกระทั่งเขาดับเครื่องยนต์ลงตรงหน้าร้านสวยซึ่งกรุกระจกใสรอบด้าน พอลงนั่ง กาแฟร้อนควันฉุนก็ถูกวางตรงหน้าแทบจะทันที เขาช่างบริการได้น่ารักอะไรเช่นนี้ ‘’ทานเสียหน่อยสิครับ เดี๋ยวคุณคงจะรู้สึกดีขึ้น ‘’ เป็นประโยคแรกที่เขาพูดขึ้น หลังจากวางถ้วยกาแฟลงบนจานรองแล้ว ‘’ ผมต้องขอโทษด้วยนะครับที่ เอ้อ…ที่…ทำให้คุณตกใจน่ะครับ’’ ‘’ อ๋อ ไม่หรอกครับ คือก็ไม่เชิงว่าตกใจหรอกนะครับ แต่มันยังไงล่ะ คือมันแปลกใจใช่ แปลกใจมากกว่า ‘’ ‘’ ยังไงนะครับ ผมไม่ค่อยเข้าใจ’’ ‘’คือ ผมรู้สึกว่าผมเห็นคุณขับรถสวนผ่านไปแล้วนี่ครับ ‘’ คำพูดของผมทำให้สีหน้าของเขาแช่มชื่นเสียเหลือเกิน คงดี ภูมิใจมากสินะที่มีใครเขาสนใจคอยมองดูอยู่ รู้สึกขวางนิดๆ แต่ก็นิดหน่อยเดียว…จริงๆ ‘’ เสร็จแล้วจู่ๆ คุณก็โผล่มาปาดหน้าผม คือไม่นึกว่าจะเป็นคุณน่ะ งงจริงๆ ‘’ ‘’ ก็ผมเห็นคุณยิ้มให้ ผมก็เลย…’’ ‘’ ผมน่ะเหรอ ยิ้มให้คุณ’’ ประโยคนี้ของผมดูเหมือนจะทำให้เขาหน้าเจื่อนไปหน่อยๆ ผมหลุดปากไปซะก่อนที่คิดได้ว่า ก็ยิ้มให้เขาจริงๆ น่ะแหละ แต่ไม่นึกว่าเขาจะเห็นก็เขาไม่ได้มองมานี่นา จริงๆแล้วยิ้มนั้นเกิดขึ้นจากความดีใจที่ได้เจอเขาอีกครั้งนั่นเอง เขาคงจะนึกว่าผมยิ้มทักทายเขา ก็ดี โอ.เค.เลยตีขลุมไปเลยก็ได้ เขาจะได้ไม่เก้อด้วยหน้าหล่อๆ อย่างนี้ไม่อยากให้แตกเลย เสียดายครับ ‘’เอ รึว่า ผมจะเข้าใจผิดไป หรืออีกทีก็ตาฝาดไป หรือว่า… ‘’ เขาออกตัวอย่าง กลัวจะหน้าแตกมากไปกว่านี้ ผมอยากจะหัวเราะกับกิริยาของเขานัก ‘’ แต่ผมก็แน่ใจว่า…’’ ‘’ อ๋อ ปะเปล่า ไม่ผิดหรอก ‘’ ผมรีบขัดขั้น’’ ผมนึกออกแล้ว ผมยิ้มให้คุณจริงๆ น่ะแหละ’’ พูดจบก็หลบตาคมกล้าคมของเขา ก็แหมดันมานั่งจ้องเอาจ้องเอา ไอ้ผมรึก็เขินเต็มแก่ เฮ้อ! สายอีกแล้วแหงๆเลยวันนี้ นายจะรายงานคุณพ่อจริงๆ อย่างที่ขู่ไว้หรือเปล่าก็ไม่รู้ กลัวถูกเตะก็กลัว แต่จะให้ทำไงได้ล่ะจะผละจากหนุ่หล่อๆ ตรงหน้าไปในตอนนี้ได้ยังไง มันช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อแท้ๆ ไม่ได้หรอก โอกาสดีๆ ใช่ว่าจะเกิดขึ้นได้บ่อยๆ เถอะถึงยังไงมันก็คุ้มแสนที่จะคุ้ม ขออีกสักครั้งเถอะนะป๊ะป๋านะ เขาอีกแหละ ที่เอ่ยทำลายความมเงียบขึ้นก่อนว่า ‘’ คุณคงจะไม่รังเกียจนะครับ หากจะมีเพื่อนเพิ่มขึ้นอีกสักคน’’ ‘’ ใครรึครับ’’ ก็รู้อยู่หรอก แต่แกล้งถามจะดูว่าจะตอบว่าไง ‘’คนนั้นไงครับ’’ ผมเลิกคิ้ว มองหน้าเขาเป็นเชิงถามว่า ใคร…คนไหน เขาชี้นิ้วไปทางนอกร้าน เอ มันชักจะยังไงๆเสียแล้ว ผมมองไปตามนิ้วมือเขา บริเวณนั้นก็ไม่เห็นจะมีใคร นอกจากรถยนต์สองคันของเราที่จอดอยู่ก่อนแล้ว มองหน้าเขาอีกที เขาจะลูกเล่นอะไรของเขาหนอ ‘’ก็คนนั้นไงครับ คนที่เป็นเจ้าของรถสีขาวคันนั้น ‘’ เขามองหน้าผม ผมมองหน้าเขา เขายิ้มขึ้นก่อน ผมก็ยิ้มตาม แล้วเสียงหัวเราะของเราก็ประสานกันเป็นหนึ่งเดียว…
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น