วันอังคารที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

เรื่องเล่าคาวน้ำกาม 9

"ห้องมึงโคตรน่าอยู่ เตียงนอนนุ่มน่านอน คงกระดอนเด้งทนต่อแรงโยกเยกได้ดี เดี๋ยวกูขอทดสอบหน่อย" ไอ้พัฒน์ส่งสายตาแฝงเลศนัยพร้อมกับกระโดดนั่งลงบนเตียงอย่างเบาๆ
"
ไอ้บ้า... มันไม่ใช่เตียงติดสปริงนี่ จะได้เด้งไปเด้งมารับจังหวะที่มึงว่า" ผมรู้สึกเขินนิดๆ
ไอ้พัฒน์ดึงมือของผมลงมานั่งบนเตียงด้วยกัน
"
ไม่ได้เจอตั้งนาน กูโคตรคิดถึงมึงจริงๆ อยากจะกอด อยากจะจูบ อยากจะเย็ดมึงซักร้อยครั้งพันครั้ง" ไอ้พัฒน์เริ่มไซร้ตรงข้างกกหูของผมเบาๆ
"
พอมาถึงก็เงี่ยนเลยนะมึง กูว่ามึงเก็บแรงเอาไว้ลุยคืนนี้ดีกว่า เท่าที่ดูจากสภาพแล้ว มึงไม่เหนื่อยบ้างหรือไง ดูตามึงซิ แดงก่ำขนาดนั้น หน้าก็ไม่ได้ล้าง ฟันก็ไม่ได้แปรง น้ำก็ไม่ได้อาบอีก สารพัดความเหม็นมารวมอยู่ในตัวมึง อีกอย่างกูเหนื่อยด้วย อยากจะนอนหลับเอาแรงซักงีบ เมื่อคืนไม่ได้นอน กลัวว่าจะตื่นไม่ทันมารับมึงที่สถานีรถไฟ" ผมเริ่มผละตัวไอ้พัฒน์ออกห่าง
"
เออ.... เป็นความคิดที่ดี กูเหนื่อยอยากจะนอนพักเหมือนกัน รอให้ถึงคืนนี้ก่อนเถอะ กูจะเย็ดมึงให้มิดลำมิดโคน เอาให้หนำใจสุดๆ แล้วอย่ามาโอดครวญว่ากูใจร้ายใจดำไม่ได้นะ ช่วยไม่ได้ หน้าตามึงชอบทำให้เจี๊ยวกูโด่ดีนัก" ไอ้พัฒน์กอดผมไว้อย่างแน่น
เย็นวันนี้ผมพาไอ้พัฒน์ไปกินข้าวเย็นที่ตลาดฝายหิน ซึ่งเป็นลานขายอาหารในมหาลัย ตลาดฝายหินแห่งนี้ ขึ้นชื่อในเรื่องของอาหารและบรรยายกาศสถานที่ ซึ่งคล้ายกับตลาดในอดีตที่ก่อสร้างด้วยไม้ หลังคามุงจากและหญ้าคา (แต่ปัจจุบันนี้ ตัวตลาดจะก่อสร้างใหม่ เทพื้นคอนกรีต เสาคอนกรีตและมุงกระเบื้อง แทบจะไม่เหลือสภาพเดิมของตลาดฝายหินเมื่อซัก 10 กว่าปีก่อน หรือมากกว่าขึ้นไป)
เมื่ออาหารทุกอย่างที่ได้สั่งไว้ มาเสิร์ฟบนโต๊ะครบเรียบร้อยแล้ว..
ขณะที่ผมกำลังจะตักข้าวใส่ปาก ผมถึงกับสะดุ้งด้วยความตกใจจนต้องหยุดการกระทำเอาไว้ชั่วขณะ ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น? เพราะสายตาของผมดันไปเห็นหนุ่มสาวคู่หนึ่งกำลังเดินเข้ามานั่งในร้านเดียว กับผม หนุ่มสาวที่ว่าคือ ป้องและยัยกองฟาง (หมั่นใส้อยากจะตบยัยกองฟางมากๆ ทำเชิ่ดอย่างกับเป็นคุณนาย ส่วนป้องก็เดินถือกระเป๋าและถุงหิ้วใส่ของต่างๆ ตามก้นยัยกองฟาง) แถมทั้งคู่ยังเดินมานั่งตรงโต๊ะข้างๆ แถวเดียวกับโต๊ะของผมอีก อะไรมันจะบังเอิ๊น บังเอิญ ขนาดนั้น
แรกๆที่เห็นผม ป้องแสดงสีหน้าตกใจเล็กน้อย แต่พอมองเห็นไอ้พัฒน์ที่นั่งอยู่กับผมเท่านั้น สีหน้าและสายตาของป้องก็เปลี่ยนไป ป้องมองผมกับไอ้พัฒน์ด้วยสีหน้าที่นิ่ง สายตาที่ดูเหมือนจะคิดอะไรบางอย่างอยู่
ผมพยายามรวบรวมสติให้กลับคืนมาให้เร็วที่สุด
"
เราจะต้องไม่มอง เมื่อเห็นหญิงร้ายชายเลวคู่นั้นแล้วต้องไม่รู้สึกอะไร เหมือนเห็นอากาศธาตุ ไม่มีตัวตน เราต้องทำได้ เราต้องเข้มแข็งนะ" ผมพูดให้กำลังใจตัวเองอยู่เงียบในใจ
พอได้สติกลับคืนมาแล้ว ผมลงมือกินอาหารต่อไปอย่างเอร็ดอร่อยโดยที่ไม่สนใจอะไร ส่วนป้องก็ยังคงแอบมองผมกับไอ้พัฒน์อยู่เป็นระยะๆ
"
กินเยอะๆนะมึง จะได้มีเนื้อมีหนังกับเขาบ้าง ดูซิผอมกร่องเชียว" ผมตักกับข้าว 2-3 อย่าง ใส่ในจานข้าวของไอ้พัฒน์ โดยพยายามพูดส่งเสียงดังเล็กน้อยเผื่อโต๊ะข้างๆจะได้ยิน (ร้ายจริงๆเลยตรู)
"
มึงก็เหมือนกัน ผอมลงไปเยอะ เอานี่ไปเลย หมูกรอบชิ้นใหญ่ๆ จะได้เพิ่มส่วนก้นของมึงให้ดูนูนๆแน่นๆเด้งๆ" ไอ้พัฒน์ตักหมูกรอบใส่ในจานข้าวของผม
"
ไอ้บ้า.... พูดอะไรทะลึ่งอีกแล้ว ไม่รู้จักอายคนบ้างเลยนะ" ผมพยายามพูดดังเพื่อให้คลื่นความถี่เสียงเดินทางไปถึงโต๊ะข้างๆ ปรากฏว่าได้ผลเกินคาด เพราะป้องหันหน้ามองที่โต๊ะของผมอย่างจัง (เวลานี้ตรูเชิ่ดใส่อย่างเดียวเท่านั้น) พูดไปก็สับสนตัวเองเหมือนกัน ไหนบอกว่าจะไม่แคร์เขา จะไม่สนใจเขา แล้วสิ่งที่ตัวเองกำลังทำอยู่นี่ ทำลงไปเพื่ออะไร?
เมื่อกินข้าวเย็นเสร็จเรียบร้อยแล้ว (ต้องทนฝืนกินให้เสร็จๆไป ถ้าติดตามอ่านจากตอนที่แล้วคงจะรู้นะครับว่า เหตุผลคืออะไร? แค่เห็นหน้าใครบางคน มันก็จุกอกจนหายหิวแล้ว) ผมพาไอ้พัฒน์เดินชมรอบๆฝายหินจนทั่ว ก่อนที่จะออกจากฝายหิน ผมได้ซื้อน้ำแตงโมปั่นถุงใหญ่ น้ำแตงแคนตาลู๊ปปั่นถุงใหญ่ พร้อมทั้งขนมและของกินต่างๆติดไม้ติดมือมา
จากนั้นผมขับรถพาไอ้พัฒน์ขึ้นไปเดินเล่นที่อ่างเกษตร ซึ่งเป็นอ่างเก็บน้ำที่อยู่บนเนินเขาหลังมหาลัย โดยอ่างเก็บน้ำแห่งนี้มีชื่อเสียงโด่งดังเป็นที่รู้จักกันดีทั้งในหมู่นัก ศึกษาและบุคคลรอบนอกทั่วไป เพราะเป็นอ่างเก็บน้ำที่สวยมากๆ สามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ของเมืองเชียงใหม่ทั้งเมืองได้อย่างชัดเจนมาก ส่วนบริเวณด้านหลังเป็นวิวของดอยสุเทพที่สูงตระหง่าน
"
สวยว่ะ ไอ้กันต์ ถ้าไม่ได้มึงมาเป็นไกด์พากูเที่ยวที่นี่ กูคงคิดไม่ออกว่าจะไปเที่ยวที่ไหนดี อย่างมากคงหนีไม่พ้นพวกห้างและผับต่างๆในตัวเมือง ขอบใจมากนะโว้ย" ไอ้พัฒน์มองหน้าผมพร้อมกล่าวขอบคุณ
"
มึงไม่ต้องเวอร์ขนาดนั้นก็ได้ ตอนนี้เป็นทีของกูแล้วที่จะพามึงเที่ยวทั่วเชียงใหม่ กูยังจำได้เลย ตอนที่ไปเที่ยวบ้านมึงที่หาดใหญ่ มึงทำหน้าที่ไกด์ได้ดีมากๆ กูรู้สึกประทับสุดๆจนถึงวันนี้เลย" ผมยิ้มให้ไอ้พัฒน์
"
เสียดาย ที่มึงกับกูไม่ได้เรียนอยู่มหาลัยเดียวกัน ไม่อย่างนั้นป่านนี้กูคงจะเป็นผู้ชายที่น่าอิจฉามากที่สุดคนหนึ่ง" ไอ้พัฒน์พูดทิ้งท้าย พร้อมกับเอื้อมมือของมันมาจับมือผม
"
ไอ้บ้า... มึงพูดจนกูอายไปหมดแล้ว" ผมพยายามแสดงอาการเขินอายเล็กน้อย (มันเป็นอาการเขินที่ไม่ได้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เป็นการแสดงที่สร้างขึ้นมาเพื่อถนอมน้ำใจฝ่ายตรงข้าม โดยภายในใจของผมนั้น มันร้อนรนจากเหตุการณ์ที่เพิ่งจะเกิดขึ้นในฝายหิน เมื่อครู่ที่ผ่านมา)
"
ไอ้กันต์... กูชอบมึงจริงๆนะโว้ย ถ้ามึงเรียนอยู่มหาลัยเดียวกับกู กูขอมึงเป็นแฟนนานแล้ว กูไม่ปล่อยมึงไว้หรอก กลัวโดนใครคาบไปแดกเสียดายว่ะที่ระยะทางทำให้กูต้องแห้ว" ไอ้พัฒน์พูดด้วยสีหน้าจริงจัง
"
มึงเข้าใจพูด มันก็เป็นเรื่องจริงนะที่ว่า รักแท้แพ้ใกล้ชิด หรือไม่ รักแท้แพ้ระยะทาง แต่อย่างไรเสีย ตอนนี้มึงกับกูก็ได้มาพบกันอีกครั้ง" ผมได้แต่ยิ้มให้ฝ่ายตรงข้าม
"
แค่ 5 วันเอง" ไอ้พัฒน์แกล้งทำหน้าซึม
"
เออน่า... จะ 5 วัน ยังดีกว่าไม่ได้เจอกันเลยนะ จริงไหม?" ผมหยอกกลับ
"
จริงของมึง ช่วงเวลาที่กูอยู่กับมึง กูจะถอนทุนคืนและเอากำไรให้มากที่สุด เริ่มจากคืนนี้ กูจะเอามึงยันเช้าจนเห็นฟ้าเหลืองคาตาเลย คอยดูเถอะ" ไอ้พัฒน์เริ่มพูดวกเข้าสู่เรื่องใต้สะดือ
"
ไอ้บ้า.. เงี่ยนอีกแล้วนะมึง ดูซิเป้ากางเกงตุงแน่นเชียว เวลาเดินไม่อายคนบ้างเลยหรือไง" ผมมองไปที่เป้ากางเกงของไอ้พัฒน์ พร้อมกับหัวเราะด้วยความขบขัน
ก่อนที่จะเข้านอน ผมกับไอ้พัฒน์ต่างก็อยู่ในสภาพที่เปลือยเปล่าด้วยกันทั้งคู่ เราทั้งสองสวมกอดและแลกลิ้นดูดปากของกันและกันอย่างดูดดื่ม
ไอ้พัฒน์ค่อยๆผลักตัวของผมนอนล้มลงบนเตียง พร้อมกับก้มหน้ามาดูดตรงหัวนมทั้งสองข้างของผม จากนั้นก็ย้ายตำแหน่งเลื่อนลงมาทีละนิดๆจนมาถึงแท่งตอปิโดของผม
ไอ้พัฒน์อ้าปากครอบแท่งตอปิโดของผมจนมิดลำ พร้อมทั้งใช้ริมฝีปากรูดขึ้นๆลงๆอย่างเป็นจังหวะ จนผมส่งเสียงร้องครางอย่างเบาๆด้วยความเสียว
ส่วนมืออีกข้างหนึ่งก็ใช้ลูบคลึงกะโปกของผม พร้อมทั้งช้อนลูกชิ้นเอ็นของผมทั้งสองลูกอยู่เป็นระยะๆ
พอดูดแท่งตอปิโดของผมจนหนำใจแล้ว ไอ้พัฒน์ก็จัดการเปลี่ยนตำแหน่งทันที โดยการเลื่อนตัวผมให้ไปนอนทับอยู่ข้างบนตัวมัน
ผมดูดไซร้ซอกคอ ตลอดจนหัวนมทั้งสองข้างของไอ้พัฒน์จนเป็นที่เรียบร้อย ผมไม่รอช้า รีบจัดการถวายบัวให้ไอ้พัฒน์อย่างรู้การรู้งาน ไม่ได้เอากันมานานมาก กระดอของไอ้พัฒน์ยังสวยน่าดูดอยู่เหมือนเดิม (ถึงแม้จะเล็กไปก็ตาม)
ผมใช้ลิ้นเลียตวัดไปรอบๆบริเวณรอยหยักตรงกระดอ เวลานี้ไอ้พัฒน์ทำหน้าเหย๋ พร้อมกับร้องซี๊ดๆขึ้นมา
ซักพักไอ้พัฒน์ใช้ฝ่ามือตบลงบนก้นของผมอย่างเบาๆ ซึ่งเป็นอันรู้กันว่า ได้เวลาที่จะเอากระดอของมันมาสวนรูทวารของผมแล้ว
ผมเอื้อมมือไปหยิบเจลหล่อลื่นที่ในลิ้นชักตรงโต๊ะหัวเตียง ผมชะโลมทาเจลหล่อลื่นลงที่กระดอของไอ้พัฒน์ และทาบริเวณปากรูทวารหนักของตัวเอง
ไอ้พัฒน์ค่อยๆแหย่กระดอเข้าไปในรูดากของผมอย่างช้าๆนุ่มนวล จนกระดอเข้ามิดลำ จากนั้นไอ้พัฒน์ก็ชักเข้าๆออกๆอย่างไม่เร่งรีบเพื่อเป็นการอุ่นเครื่อง
เมื่อเครื่องยนต์วิ่งเรียบไม่มีสะดุด ไอ้พัฒน์จึงเร่งเครื่องกระเด้าซอยกระดอเข้าๆออกๆในรูดากของผมอย่างถี่รัว ผมครางออกมาโดยไม่สามารถควบคุมอารมณ์ความรู้สึกของตัวเองได้ (ก็มันเสียวนี่)
เวลานี้เราทั้งสอง ต่างก็ร้องส่งเสียงครางรับประสานกันเป็นบทเพลงแห่งกามโลกีย์ได้อย่างไพเราะเพราะพริ้ง
ซักพัก ไอ้พัฒน์เริ่มซอยกระดออย่างถี่รัวผิดปรกติ พอจะเดาออกว่า มันใกล้แตกแล้วแน่ๆ ผ่านไป 3 วินาที ไอ้พัฒน์ส่งเสียงร้องครางดังผิดปรกติและผมเองก็รู้ตัวว่าในก้นของผมร้อนๆ แน่นๆ และเปียกแฉะ
ไอ้พัฒน์ได้พ่นน้ำกามออกมาอย่างล้นทะลัก พร้อมกับสีหน้าที่เหนื่อยอ่อนนิดๆ
"
คราวนี้มาถึงทีกูบ้าง ดูดให้ดีๆนะมึง กูอยากจะแตกคาปากมึง" ผมยื่นแท่งตอปิโดที่แข็งโด่ ไปที่ปากของไอ้พัฒน์
ไอ้พัฒน์จับการอมๆดูดๆเลียๆแท่งตอปิโดของผม จนผมทนไม่ไหว พ่นน้ำกามใส่ในปากของไอ้พัฒน์อย่างหมดก๊อก
จนไอ้พัฒน์ต้องรีบวิ่งเข้าไปในห้องห้องน้ำทันที
"
ไอ้ห่า... แม่ง... น้ำโคตรเยอะเลยมึง แถมเค็มอีกต่างหาก กูจะท้องไหมนี่?" ไอ้พัฒน์พูดด้วยอารมณ์ขำขัน พร้อมเดินออกมาจากในห้องน้ำ
ตลอดระยะเวลา 5 วัน ที่ได้อยู่กับไอ้พัฒน์ ผมรู้สึกมีความสุขมาก จนสามารถที่จะลืมและไม่คิดถึงใครบ้างคนได้ แต่ก็น่าเสียดาย ที่ผมกับไอ้พัฒน์ต่างอยู่ไกลกันเหลือเกิน (เหนือ กับ ใต้) ไม่อย่างนั้น............ (ไม่เอา ไม่อยากคิด) ............ จะอธิบายอย่างไรดี ผมว่าประโยคหรือวลีนี้จะอธิบายถึงความรู้สึกและความเป็นไปได้ ได้ดีที่สุด
"
ระยะทางยิ่งห่างกันมากเท่าใด ความสัมพันธ์และความผูกพันธ์ก็ย่อมห่างเหินกันมากฉันนั้น"
วันที่ผมส่งไอ้พัฒน์ขึ้นรถทัวร์จากเชียงของ ไป กรุงเทพฯ (ผมพาไอ้พัฒน์เที่ยวที่เชียงใหม่ 3 วัน และขึ้นไปเชียงของ 2 วัน) ก่อนที่มันจะขึ้นรถ มันได้บอกกับผมว่า....
"
วันนี้กูกับมึงคงเป็นได้แค่เพื่อนร่วมสนุกกันไปก่อน แต่วันหน้า หลังจากเรียบจบแล้ว ถ้าเราสองคนมีโอกาสอยู่ใกล้กันมากกว่านี้ กูหวังว่า เราสองคนคงจะได้เป็นเพื่อนร่วมทางเดินหัวใจของกันและกัน"
ปิดเทอมใหญ่รอบนี้ ผมไม่ได้ลงเรียนซัมเมอร์อีกเช่นเคย เพราะขี้เกียจ และสาขาวิชาที่ผมเรียนนั้น ถึงแม้จะลงเรียนซัมเมอร์ทุกปีก็ตาม แต่ก็ต้องจบ 4 ปีอยู่ดี เพราะหลักสูตรบังคับว่า "ต้องจบ 4 ปีเท่านั้น" ไม่อนุญาตให้จบก่อน( 3 ปีครึ่ง) เหมือนกับสาขาวิชาอื่นๆ หรือคณะอื่นๆ แต่จะสามารถจบหลัง 4 ปีก็ได้ (ถ้าใจปราถนา ซึ่งคงไม่มีใครอยากเรียนเกิน 4 ปีอยู่แล้ว)
จริงๆแล้วเหตุผลหลักของคนปากแข็งอย่างผมก็คือ อยากจะพาหัวใจดวงน้อยๆของตัวเอง ที่โดนย่ำยีจนบอบช้ำจากฝีมือของคนใจร้ายที่ชื่อ "ป้อง" ไปพักผ่อนตากอากาศ เปิดหูเปิดตา ดูโลกกว้างเพื่อเสริมสร้างวิสัยทัศน์และมุมมองใหม่ๆให้กับตัวเอง (พูดออกทะเลไปโน่นเลยตรู) พูดง่ายๆตามประสาชาวบ้านก็คือ "หลบไปหาที่พักใจ" (จนป่านนี้แล้ว ตรูยังไม่ลืมผู้ชายคนนี้อีกหรือ?) ทำไมถึงช่างลืมยากลืมเย็นแบบนี้!!!!!!!!
ผมทำอะไรตอนปิดเทอมใหญ่รอบนี้? คำตอบคือ ผมจะไปทัศนศึกษาที่ประเทศอินเดีย กับอาจารย์ท่านหนึ่งในภาควิชาภาษาปัจจุบันตะวันออก (โดยอาจารย์มีศักดิ์เป็นญาติของผม) นอกจากอาจารย์จะมีงานประจำ คือ สอนหนังสือในมหาลัยแล้ว อาจารย์ยังรับงานพิเศษเป็นไกด์และคนจัดคณะทัวร์ไปเที่ยวอินเดีย ตอนปิดเทอมอีกด้วย
ณ สนามบินดอนเมือง (พ.ศ. 2539) เวลา 7 โมงเช้า
ผมกับบอลถือกระเป๋าทางพร้อมกับสะพายเป้มายืนรอคณะทัวร์ในจุดนัดหมาย มองไปมองมายังไม่เห็นมีใครมาเลย แน่ละ... เราทั้งสองมาก่อนเวลาที่กำหนดตั้ง 3 ชั่วโมงกว่า
ไม่ใช่บ้าเห่ออะไรหรอกครับ (เดี๋ยวกลัวคนอ่านจะคิดว่า มาเมืองนอกครั้งแรกถึงกับตื่นเต้นถึงเพียงนี้เชียวหรือ?) ที่มาก่อนเพราะต้องเผื่อเวลา บ้านของบอลอยู่ตั้งบางนา (ผมมาค้างที่บ้านของบอลก่อนล่วงหน้า 2 คืน คงไม่ต้องบรรยายให้ทราบนะครับว่า นอนห้องไหนในบ้านของบอล? และทำอะไรกันบ้าง? เพราะคำตอบเป็นอย่างที่คุณผู้อ่านคิดเอาไว้แน่นอน XXXกันทั้งคืนครับ เสียอย่างเดียวคือ "บอลล่มปากอ่าว" แต่ก็เงี่ยนบ่อยเหมือนกันนะ)
การเดินทางจากบางนามายังสนามบินดอนเมืองไกลมากโขอยู่
ผมลืมบอกไปว่า ในการเดินทางครั้งนี้ ผมได้ชวนบอลไปเที่ยวด้วย ซึ่งบอลก็สนใจและอยากไปเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ประกอบกับโดนลูกตื้อของผม เลยทำให้ตอบตกลงทันที (เพราะรู้มาว่า ทริปอินเดีย คนที่ไปส่วนใหญ่จะเป็นคนที่มีอายุทั้งนั้น หาวัยรุ่นหล่อๆน่ารักๆ ยากมากกกกกก ขืนไปคนเดียวมีหวังหำหดแน่ๆ)
"
นายเฝ้ากระเป๋าอยู่นี่ก่อนนะ เดี๋ยวเรามา" ผมถอดเป้ออกจากหลังและวางกระเป๋าเดินทางใบเล็กๆลงที่พื้น
"
จะไปไหน? ทำไมต้องให้เรายืนรอตรงนี้ด้วย?" บอลถามด้วยความสงสัย
"
ปวดเยี่ยว จะไปด้วยไหมละ? ดีเหมือนกัน จะได้ช่วยรูดซิปงัดเจี๊ยวเราออกมาที่โถ ยิ่งขี้เกียจอยู่ด้วย พอเสร็จแล้ว จะได้ช่วยอมให้เรา เพื่อเป็นการทำความสะอาดไปในตัว" ผมทำหน้าทะเล้นใส่บอล
"
แหวะ... สกปรก ซกมกจริงๆ ยังมาทำหน้าตายแบบนี้ใส่เราอีก จะไปดื่มน้ำปัสสาวะที่ไหนก็ไป แต่อย่าไปนานและห้ามเถลไถลเด็ดขาด" บอลค้อนใส่ผม
"
ครับผม" ผมยิ้มรับคำ
ขณะที่ผมกำลังยืนยิงกระต่ายอย่างมีความสุข ทันใดนั้นมีหนุ่มน้อยคนหนึ่งอายุน่าจะรุ่นราวคราวเดียวกับผม หรือไม่งั้นก็มากกว่าผมไม่กี่ปี (สังเกตุจากทรงผมที่ก้ำๆกึ่งๆดูไม่ออกว่าจะเป็นเด็กมัธยมก็ไม่ใช่ เด็กมหาลัยก็ไม่เชิง) หนุ่มน้อยคนดีหน้าตาจัดได้ว่าหล่อโฮกมากๆ (ขอยืมศัพท์สมัยใหม่มาใช้หน่อยนะ เพราะบรรยายได้โดนตรงจุดจริงๆ) หล่อแบบไทยแท้ สูงยาวเข่าดี โดยเฉพาะส่วนสูงน่าจะประมาณ 185 เซนติเมตร (สูงๆแบบนี้ ลำกล้องคงจะยาวใช่น้อย) ผิวสองสีเนียนสวย ดูสะอาดสะอ้าน
ผมมองดูความหล่อของหนุ่มน้อยคนนั้นอย่างลืมตัว จนได้สติกลับคืนมา ผมจึงแกล้งทำเนียนยืนยิงกระต่ายต่อ เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายสงสัย หนุ่มน้อยคนนั้นจ้องมองผมด้วยสายตาที่ไม่ยินดียินร้ายอะไร จากนั้นก็เดินมายืนที่โถข้างๆผม (ทั้งๆที่ในห้องน้ำมีโถว่างอยู่ตั้งหลายมุม)
ผมรู้สึกตื่นเต้นเหมือนกับกำลังผจญภัยอยู่ในสถานการณ์ที่แตกต่าง ผมค่อยๆชำเลืองตามองต่ำมาที่หนุ่มน้อยคนนั้น
แจ๊คพ็อตแตกจริงๆครับ!!!!! หนุ่มน้อยคนนั้น ค่อยๆยืนห่างโถออกทีละนิดๆ พร้อมกับค่อยๆถอกหนังบริเวณลำกระดอ ผมมองดูแล้วทำให้กระจู๋ของผมแข็งขึ้นมาอย่างอัตโนมัติ
เวลานี้ผมแน่ใจ 100% แล้วว่า หนุ่มน้อยคนนี้เล่นด้วยจริงๆ เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ผมเลยโชว์แท่งตอปิโดที่แข็งปึ๋งของผมให้ดูบ้าง ผมค่อยๆรูดมันอย่างช้า พร้อมกับถอกหนังหุ้มที่บริเวณหัวกระดอ
หนุ่มน้อยคนนั้นเอื้อมมือมาจับแท่งตอปิโดของผม และค่อยๆชักเข้าๆออกๆ
ส่วนตัวของผมเองนั้น ก็รีบเอามือมาจับพิสูจน์ความยาวของมังกรฝ่ายตรงข้าม (เพื่อไม่ให้ขาดทุน) ซึ่งลำตัวของมังกรยาวสวยได้รูป หัวมังกรสีชมพูเปิดออกมาทักทายโลกภายนอก ส่วนขนาดนั้นไม่เล็กไม่ใหญ่จนเกินไปนัก
เราทั้งสองต่างก็สัมผัสอวัยวะเพศของกันและกันอย่างตื่นตาตื่นใจ
เอี๊ยด... !!!!!!!! เสียงเปิดประตูห้องน้ำดังขึ้น
เราทั้งสองต่างก็รีบปล่อยมือออกจากอวัยวะเพศที่แข็งโด่ของกันและกันอย่างอัตโนมัติ พร้อมกับทำท่ายืนฉี่อย่างปรกติ
คนที่เปิดประตูห้องน้ำเข้ามานั้น เป็นผู้ชายวัยกลางคน 3 คน พวกเขาเดินเข้ามายืนฉี่ที่โถอีกมุมหนึ่ง 4 วินาทีถัดมา ก็มีฝรั่งผู้ชาย 2 คนเข้ามา โดยคนหนึ่งจูงมือเด็กผู้ชายราวๆ 3-4 ขวบ เข้ามาด้วย ฝรั่งที่ไม่ได้มากับเด็ก เดินมายืนฉี่ข้างๆกลุ่มผู้ชายวัยกลางคน ส่วนฝรั่งที่มากับเด็ก ยืนแปรงฟันอยู่ตรงอ่างล้างหน้า
สวรรค์ล่มเลยตรู!!!!!!! ผมรีบเดินออกจากห้องน้ำอย่างเซ็งๆ เพราะโอกาสไม่เอื้ออำนวย และที่สำคัญ ลืมไปว่า บอลยืนรออยู่!!!!!!!! ผมเลยรีบวิ่งสู้ฟัดไปหาบอลทันที
"
ทำไมฉี่นานจัง? หรือว่าไปเดินเถลไถลที่ไหนมา?" บอลถามขึ้นมา
"
ไม่ได้ไปเดินเหลวไหลที่ไหนหรอก เผอิญฉี่เสร็จแล้วปวดอึอย่างกระทันหัน เลยต่ออีกรอบ" ผมป้อนสตอใส่ปากบอล
"
มิน่าละ ถึงว่า... ได้กลิ่นอะไรตุๆแถวนี้ ที่แท้ก็จากนายนี่เอง ล้างมือสะอาดแล้วใช่ไหม?" บอลทำหน้าทำตาพร้อมกับใช้มือทำท่าพัดไปมาที่จมูกของตน
"
ล้างสะอาดแล้ว จะดมดูไหมว่าหอมแค่ไหน?" ผมทำเนียนโดยการยื่นมือไปที่จมูกของบอล (รอดตัวไปตรู นึกว่าจะสตอไม่ขึ้นซะแล้ว)
เวลาผ่านไปครึ่งชั่วโมง อาจารย์ที่เป็นหัวหน้าทัวร์ก็มาถึง หลังจากนั้นบรรดาพวกลูกทัวร์ก็เริ่มทยอยมากัน อาจารย์จะแนะนำให้ลูกทัวร์ทุกคนรู้จักกันและกัน เห็นอาจารย์บอกว่าลูกทัวร์ทั้งหมดในทริปนี้รวมทั้งตัวอาจารย์ด้วย มีด้วยกัน 12 คน ทั้งลูกทัวร์ที่มาโดยตรงจากเชียงใหม่ และลูกทัวร์จากกรุงเทพ ที่ส่งต่อมาจากบริษัททัวร์ในกรุงเทพ
ทันใดนั้น มีลูกทัวร์กลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาหาอาจารย์ ลูกทัวร์กลุ่มที่ว่านี้เป็นครอบครัวมีทั้งหมด 5 คน พ่อ แม่ ยาย(หรือย่า ไม่แน่ใจ) ลูกชาย และลูกสาว
เมื่อผมได้เห็นหน้าลูกชายของครอบครัวนี้ ผมรู้สึกตกใจปนช็อคนิดๆ เพราะ ลูกชายของครอบครัวนี้เป็นคนๆเดียวกับหนุ่มน้อยคนที่เล่นว่าวกับผมในห้องน้ำ เมื่อครู่ที่ผ่านมา
แรกๆที่เจอหน้ากัน ผมและหนุ่มน้อยคนดังกล่าว ต่างก็รู้สึกตกใจและงงๆ จนทำสีหน้าไม่ถูกที่ได้มาเจอกันอีกรอบ แถมยังบังเอิญร่วมคณะทัวร์เดียวกันด้วย !!!!!!
เมื่อถึงสนามบินนานาชาติเมืองกัลกัตต้า(ปัจจุบันนี้ได้เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น "โกลกาต้า") และผ่านขั้นตอนตรวจคนเข้าเมืองแล้ว หัวหน้าทัวร์ก็เช็คจำนวนลูกทัวร์ ตลอดจนความเรียบร้อยต่างๆภายในคณะ พร้อมทั้งเดินนำไปยังประตูทางออกผู้โดยสารขาเข้า
รถบัสได้จอดรอพวกเราอยู่ตรงถนนฝั่งตรงข้ามหน้าอาคารผู้โดยสารขาเข้า
ผมนั่งคู่กับบอล(ซึ่งขอเหมาผูกขาดกับการนั่งที่นั่งติดกับหน้าต่างตลอดทริป) ขณะที่กำลังรอให้ลูกทัวร์ขึ้นรถครบทุกคน หนุ่มน้อยคนนั้นพร้อมน้องสาวก็เดินเข้ามานั่งตรงเบาะฝั่งตรงข้ามกับผม
น้องสาวของเขานั่งติดกับหน้าต่าง ส่วนตัวเขานั่งอยู่ตำแหน่งตรงข้ามกับผมพอดิบพอดี (ไม่รู้ว่าบังเอิญหรือว่าจงใจกันแน่?)
ระหว่างทางที่รถวิ่งเข้าไปในเมืองโกลก้าต้า บอลก็เข้าฌาณอีกตามเคย (ถ้านั่งรถโดยสารระยะทางไกลเกิน 10 กิโล บอลมักจะหลับเสมอ)
"
มาเที่ยวกับเพื่อนหรือครับ? หรือว่ามากับครอบครัวด้วย?" หนุ่มน้อยคนนั้นพูดทักทายผม
"
มากับเพื่อนครับ และญาติผู้ใหญ่อีก 1 คน อาจารย์นิตยาที่เป็นหัวหน้าทัวร์ ท่านเป็นน้าของผม" ผมทักทายตอบด้วยอาการเขินๆ
"
ผมชื่อภีม( ภี-มะ) หรือเรียกชื่อเล่นว่า ภีม(ภีม) ได้นะครับ สะดวกแบบไหนก็เรียกแบบนั้น นายชื่ออะไร?" หนุ่มน้อยคนนั้นแนะนำตัวเอง
"
กันต์ ชื่อนายเพราะและเก๋ไม่เหมือนใครดีนะ ส่วนคนที่กำลังนั่งทำสมาธิอยู่ชื่อบอล" ผมแนะนำตัวเองพร้อมทั้งหันหน้าไปหาบอล (แอบกัดเจ้าบอลทีเผลอ)
"
กันต์ช่างเข้าใจแกล้งเพื่อน" ภีมแอบขำอย่างเบาๆ
"
ลืมแนะนำไป นี่น้องสาวเราชื่อพริ้มเพรา" ภีมแนะนำเด็กผู้หญิงวัยรุ่นที่กำลังฟังเพลงจากหูฟังของเครื่องเล่นซีดี เด็กผู้หญิงคนนี้อายุไม่น่าเกิน 15 ปี เธอรีบถอดเอาหูฟังออกจากหูทันที
"
พี่ชื่อกันต์"
"
สวัสดีคะพี่กันต์" พริ้มเพรา ยกมือไหว้ทักทายตามมารยาท หลังจากนั้นก็ใส่หูฟังเพื่อฟังเพลงต่อทันที
"
กันต์เรียนอยู่ชั้นไหน? อายุเท่าไหร่? จะได้เรียกถูก" ภีมเอ่ยถามผม
เราจะย่างเข้า 18 อีก 2 เดือน ตอนนี้เรียนอยู่มหาลัยจะขึ้นปี3 นายละ?" ผมตอบอย่างตรงไปตรงมา
"
โอ้โห.. กันต์เรียนเร็วจัง สงสัยสอบเทียบมาแน่นอน เก่งมาก เราอายุ 18 เหมือนกัน เราเพิ่งสอบเอ็นทรานซ์เสร็จ ตอนนี้กำลังรอฟังผลสอบอยู่ ทางบ้านไม่อยากให้เราเครียดมาก เลยมาเที่ยวอินเดียกันทั้งบ้าน" ภีมเล่าเรื่องของตัวเองให้ผมฟังอย่างคร่าวๆ
"
ภีมอยากเรียนคณะไหน? เลือกมหาลัยไหนบ้าง?" ผมถามแบบมีลุ้นนิดๆ (เผื่อภีมเลือกอาจเลือกมหาลัยของผม)
"
อยากเรียนคณะบัญชีมากที่สุด รองมาก็บริหารธุรกิจ และเศรษฐศาสตร์ ส่วนมหาลัยนั้น เราเลือกแต่มหาลัยชั้นนำในกรุงเทพทั้งหมด ถ้าเกิดเอ็นฯไม่ติด คงต้องไปเรียนเอกชน" ภีมตอบแบบไม่แน่ใจในอนาคตทางการศึกษาของตัวเอง
"
คนนี้เขาเรียนอยู่คณะบริหารฯ" ผมชี้มือมาที่บอล
"
อะไรๆ แอบนินทาเราอยู่หรือ? นึกว่าเราหลับละซิ" บอลลืมตาขึ้น พร้อมท่าทางสะลึมสะลือ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น