วันอังคารที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

บทเรียนจากเรือนจำ

ผมเกิดมาไม่รู้จักหน้าพ่อแม่ว่าเป็นอย่างไร รู้แต่ว่าแม่นำผมมาจ้างให้คนเลี้ยงแล้วหายไป ผมจึงเกิดมาอย่างคนไร้อนาคต เพราะโตขึ้นมาแค่จำความได้ คนเลี้ยงก็พาผมมาฝากที่วัด หิ้วปิ่นโตตามพระมาตั้งแต่เด็ก ยังดีที่หลวงตา สงสารเด็กกำพร้าอย่างผม ผมจึงมีโอกาสเล่าเรียนหนังสือกับเขาเมื่อเข้าเกณฑ์ ตอนเรียนชั้นประถมเกรดดีมาก เพราะหลวงตาควบคุมอย่างเข้มงวด แต่พอเรียนมัธยม ผมเริ่มเกเรคบเพื่อนฝูงที่แต่ละคนล้วนเจ็บแสบทั้งนั้น จนทำให้ผมเริ่มเสียคนตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา พอตกกลางคืนเป็นต้องหนีหลวงตาออกมารวมกลุ่มกับเพื่อนที่มีทั้งหญิงและชาย สูบบุหรี่กัญชาไปตามเรื่อง แล้วคืนที่ผมถูกจับก็มาถึง ขณะที่พวกผมสูบกัญชา จับกลุ่มกันอยู่นั้น รถมอเตอร์ไซค์สายตรวจก็ขี่ผ่านมาแล้วจอดมองเพื่อนผมคนหนึ่งตกใจสุดขีดจึงลุกขึ้นวิ่งหนีตำรวจลงจากรถวิ่งมาที่กลุ่มพวกผมเพราะเห็นมีพิรุธ ทุกคนจึงลุกขึ้นวิ่ง แต่ผมดวงซวยกว่าเพื่อน ตำรวจวิ่งตามแล้วคว้าผมได้คนเดียว เมื่อตำรวจถามถึงบ้าน ผมตอบว่าอยู่วัด แต่เนื่องจากผมยังเป็นเด็ก แม้ตำรวจมีหลักฐานก้นบุหรี่ยัดไส้กัญชาก็ไม่จับผมไปโรงพักแต่เอาตัวผมไปให้หลวงตาชำระโทษแทน ผมโดนเฆี่ยนไปหลายที และถูกจับไปสาบานต่อหน้าพระประธานในโบสถ์ว่าจะเลิกสูบกัญชา ผมจึงเลิกสูบแต่นั้นเป็นต้นมา จบมัธยม 3 ผมไม่ได้เรียนต่อ แต่ออกมาทำงานร้านเหล็ก เป็นลูกมือหยิบเหล็กมั่งเครื่องมือมั่งให้หัวหน้าช่าง จนหลวงตามรณภาพผมจึงย้ายออกจากวัดมาอยู่ร้านเหล็กที่ทำงานหนักเข้าก็ริอ่านกินเหล้า นี่เป็นสาเหตุให้ผมถูกจับเป็นครั้งที่สองและติดคุกเป็นครั้งแรก วันเงินเดือนออก ผมกับลูกจ้างในร้านเหล็กอีกสองคนก็ไปเที่ยวกินเหล้ากันแล้วเกิดเขม่นกับโต๊ะวัยรุ่นข้างๆ พอเพื่อนผมลุกขึ้นเดินเข้าห้องน้ำซึ่งต้องเดินผ่านโต๊ะนั้นก็โดนรุมต่อย ผมกับเพื่อนอีกคนหนึ่งจึงถือเก้าอี้วิ่งเข้าไปช่วยตีวัยรุ่นกลุ่มนั้นจนหัวแตกเลือดสาดไปหลายคน รถสายตรวจผ่านมาพอดี จึงรวบตัวผมไปโรงพัก ทำคดีส่งขึ้นศาล โดนตัดสินจำคุกคนละ สามเดือน แล้วที่นี้เองที่ผมได้รับทบเรียนที่เจ็บแสบที่สุดในชีวิตเพราะวัยรุ่นคู่อริมีพรรคพวกอยู่ในเรือนจำตั้งหลายคน อาทิตย์แรกที่ใช้ชีวิตอยู่ในเรือนจำ เหตุการณ์ยังคงปกติวันหนึ่งในอาทิตย์ที่สอง ขณะที่ผมกำลังนั่งทบทวนถึงชีวิตอันบัดซบที่ผ่านมาอยู่กับเพื่อนหัวหน้านักโทษที่เป็นนักโทษเหมือนกัน เรียกผมกับเพื่อนอีกคนหนึ่งเข้าไปพบในห้อง พอไปถึงผมก็ชักสังหรณ์ใจแล้วว่า เหตุการณ์คงจะไม่ดีแน่ เพราะในห้องนั้นมีชายตัวใหญ่ๆอยู่ตั้งหลายคน หัวหน้านักโทษถามผมว่าโดนคดีอะไร เพื่อนผมตอบว่าทำร้ายร่างกาย เขาถามต่อว่ามีเรื่องกับพวกไอ้ต้อย ใช่มั๊ย เพื่อนผมตอบว่าไม่รู้จักชื่อ คราวนี้ชายคนหนึ่งถามว่าใครเป็นคนใช้เก้าอี้ตีผมกับเพื่อนถึงกับเงียบไม่กล้าตอบเมื่อเห็นพวกผมเงียบชายคนหนึ่งจึงเตะเข้าที่ท้องผมอย่างจัง ผมทรุดตัวงอด้วยความเจ็บปวด เพื่อนผมอีกสองคนก็โดนด้วย เพื่อนมันเกือบ 10 คน รุมอัดผมกับเพื่อนแทบกระอัก อะไรไม่เจ็บปวดเท่ากับพวกมันจับผมกับเพื่อนถอดกางเกงแล้วอัดพวกผมทางประตูหลัง โดนเข้าครั้งแรกนั้นมันเจ็บปวดทรมานอย่างแสนสาหัส พวกมันอัดอย่างรุนแรงไม่ยั้งจนประตูหลังของผมกับเพื่อนฉีกขาด นับตั้งแต่วันนั้น ผมกับเพื่อนก็โดนพวกมันผลัดกันเรียกไปเล่นพิสดารเป็นประจำที่เรียกว่าพิสดารนั้นก็เพราะว่า บางวันแทนที่พวกมันจะอัดประตุหลังพวกผม มันกลับให้พวกผม 3 คน ผลัดกันอัดกันเองให้มันดูเสียอย่างงั้นแหละ ครบ 3 เดือนผ่านมาจึงโล่งอก เหมือนพ้นขุมนรกออกมาได้ แต่ยัง….ยังครับ นรกสำหรับพวกผม 3 คนยังไม่หมดลงเพียงแค่นั้น เพราะพอพ้นโทษออกมาที่ร้านเหล็ก เถ้าแก่ไม่กล้ารับพวกผมเข้าทำงานต่อ อ้างว่าคนงานเต็มแล้ว พวกผมจึงต้องไปอาศัยนอนวัด แล้วออกหางานทำโดยไปหายังสำนักงานต่างๆ งานนะมี แต่เงินที่ต้องเสียค่านายหน้าไม่มีให้เข้าจึงไม่ได้งานทำ หนักเข้าจึงชวนกันไปเสี่ยงดวงแถวพัฒน์พงศ์ ใช้วิชาชีพพิเศษที่ได้มาจากคุกออกหากิน โชดดีที่พวกผมหน้าตาพอดูได้ จึงไม่อดตาย แรกๆ ก็ได้มาคนละไม่เท่าไหร่ แต่พอเจนจัดเข้าก็อยู่ตัวหาเงินได้คล่องขึ้น เดี๋ยวนี้พวกผมเช่าแฟลตอยู่ มีมอเตอร์ไซค์ขี่ไปทำงานคนละคัน เรียกว่าจะสบายแล้วครับ พวกผมขายบริการทั้งหน้าและหลัง เพราะวิชาชีพที่ได้มาจากเรือนจำแท้ๆ …..

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น